ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
    มุมของมีชัย
  • ความคิดเสรีของมีชัย
  • เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
  • เรื่องสั้น
  • จดหมายถึงนาย
  •  
     
    จดหมายถึงนาย

    คำตอบจากนาย

    ท่านผู้อ่านครับ

    "จดหมายถึงนาย" กลายเป็นข้อเขียนที่เกือบจะเรียกได้ว่าแพร่หลายที่สุดในขณะนี้ ท่านผู้อ่านที่ไม่เคยใช้ “เว็บ” มาก่อนถึงกับขวนขวายไปเรียนรู้เพื่อจะได้มาเปิดเว็บคอยติดตามคำตอบจากนายด้วยตนเอง ได้มีผู้อ่านที่มีใจคอกว้างขวางได้พิมพ์เป็นแผ่นพับออกเผยแพร่จากปากต่อปาก จากบ้านถึงบ้าน และจากชุมชนหนึ่งไปยังชุมชนหนึ่ง วันหนึ่งมีผู้ส่งแผ่นพับกลับมาให้ผมอ่านด้วย เหตุทั้งนี้เพราะเมื่อคัดลอกกันต่อๆ ไปแล้ว ในที่สุดต่างก็ลืมเลือนที่จะบอกว่าข้อเขียนนี้คัดลอกมาจาก Meechaithailand.com บัดนี้ “นาย” ได้มีจดหมายตอบ นาย “ยามวิกาล” มาแล้ว Meechaithailand.com ไม่หวงห้ามที่จะคัดลอกหรือบอกกันต่อๆ ไป แต่ขอความกรุณาบอกด้วยว่าแหล่งที่มาคือ Meechaithailand.com ด้วยเกรงว่านานๆ เข้าคนจะกลับมากล่าวหาว่า Meechaitailand.com ไปคัดลอกของคนอื่นมาลง

    “จดหมายจากนาย” ก็ดี “คำตอบจากนาย” ก็ดี ล้วนเป็นข้อคิดเพื่อเตือนสติคนไทยด้วยกันเองให้ หันมามอง “คนไทย” และ “สังคมไทย” และช่วยกันคิดเพื่อหาทางปรับปรุงให้ดีขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เป็นไป ตามยถากรรมจนสายเกินแก้ ผมหวังว่าบทความทั้งสองชิ้นนี้จะมีส่วนช่วยให้เกิดประโยชน์แก่คนไทยโดยส่วนรวมบ้างไม่มากก็น้อย

    มีชัย ฤชุพันธุ์

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
     
     
    คำตอบจากนาย

    หลายสัปดาห์มาแล้ว ข้าพเจ้า “ยาม วิกาล” ได้เขียนจดหมายรายงานนาย ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติในต่างประเทศเกี่ยวกับสภาพการณ์ของประเทศไทย ซึ่งข้าพเจ้าสรุปให้นายเห็นว่า สังคมไทยนั้นอ่อนแอในทุกด้าน เป็นสังคมที่กำลังผุกร่อน เพราะเหตุสำคัญ คือ การขาดระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งทางกายภาพ ศีลธรรม-จริยธรรม วัฒนธรรมและกฎหมาย มาอย่างยาวนาน อีกทั้ง ข้าพเจ้า ได้เสนอแนะว่า เราชาวต่างประเทศ พึงระวังย่างก้าวของเรา 5 ประการ คือ (1) ระวังอย่าให้เมืองไทยมีผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ (2) เราควรเร่งให้คนไทยเข้าใจผิดว่าปัญหาเศรษฐกิจได้รับการแก้ไขแล้ว (3) อย่าให้คนไทยสงสัยในผลของโลกาภิวัฒน์ (4) ระวังอย่าวิพากย์วิจารณ์ระบบราชการไทย ปล่อยให้เป็นเครื่องกัดกร่อนสังคมไทยไปเรื่อยๆ และ (5) พึงทดสอบความไม่อนาทรร้อนใจของผู้นำและคนไทยทั่วๆ ไป เกี่ยวกับเจตนาแอบแฝงของเราชาวต่างชาติ ซึ่งสุดท้าย ข้าพเจ้าได้ขอให้นายตอบจดหมายของข้าพเจ้าเพื่อให้แนวทางในการดำเนินงานต่อไป

    บัดนี้ ข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากนาย ดังต่อไปนี้

    วันที่ 23 สิงหาคม 2543

    ยาม วิกาล ผู้ภักดี

    จดหมายของเจ้า มีเนื้อความที่ข้าอ่านแล้ว เกิดความภูมิใจในตัวของเจ้า เพราะเจ้าได้แสดงให้เห็นถึง จิตใจอันเย็นชา ไร้เมตตาธรรม ที่เราพึงปฏิบัติต่อชนชาติเล็กๆ ในการขยายอำนาจทุกด้านของเราอย่างเงียบเชียบ เช่นนี้นับว่าใช้ได้และมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ดังที่บรรพบุรุษของพวกเราได้สร้างตัวอย่างไว้ในประวัติศาสตร์อันดำมืดมานับชั่วคน ด้วยความหยิ่งในชัยชนะต่อชนพื้นเมืองและชนชาติต่างๆ ไม่ว่าในยุโรป อเมริกา อินโดจีน ชมพูทวีป ดินแดนละตินและแอฟริกา และยังได้บรรลุถึงคุณสมบัติข้อนี้อย่างสูงสุดในยุคใหม่ อันได้แก่ การวางระเบียบของโลก ซึ่งฝ่ายเราบางประเทศได้ฝึกปรือเทคนิคในการเจรจาอย่างเอาเปรียบ จนบรรลุถึงขั้น “มนุษย์ที่ไร้หัวใจและความรู้สึก” ได้อย่างสมบูรณ์

    แต่ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่า เจ้าถูกกลืนโดยสังคมไทยไปเสียแล้ว วาทะเสียดสีของเจ้าแฝงไว้ด้วยความอึดอัดใจในฝันร้ายของเมืองไทย เจ้าคงจะพำนักอยู่ที่นั่นนานเกินไปสักหน่อยจนไม่รู้ตัวว่า ตนเองได้เผลอระบายความหดหู่หมดหวังที่คนไทยมีต่อผู้นำทางการเมืองและระบบราชการมาให้ข้าฟังเสียยืดยาว คนไทยคงต้องยอมรับความเจ็บปวดและความมืดมนที่รออยู่เบื้องหน้า เหมือนกับมนุษย์ผู้ไร้เรี่ยวแรง ไม่สามารถหลีกหนีจากเงามืดแห่งโรคร้ายที่เกาะกุมไปได้ เพราะเขาเองได้ทิ้งโรคร้ายนี้ไว้นานเกินไปโดยไม่รักษา

    เจ้าต้องระวัง อย่าให้ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นจนกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางภารกิจของเจ้าที่จะช่วยให้ข้าและชาวต่างชาติเช่นเราเข้าครอบงำเมืองไทยได้โดยสะดวก ความเห็นอกเห็นใจและ “ความจริงใจ” อาจจะเป็นสิ่งสำคัญในวัฒนธรรมของพวกเขา แต่ก็เป็นเพียงเครื่องมืออันหลอกลวงในทางยุทธศาสตร์ของเรา การแสร้งทำเป็นเห็นใจ นั้น ยังใช้ได้อยู่เสมอตราบเท่าที่มันรองรับเป้าหมายของผลประโยชน์

    ข้าเห็นด้วยกับเจ้าทุกประการว่า เมืองไทยนั้นกำลังอ่อนแอลงในทุกด้าน ที่สำคัญที่สุด ก็คือขาดผู้นำทางการเมืองที่จะปลุกประชาชนให้ตื่นจากภาวะวิกฤติทางจิตใจ ตื่นจากความหวาดกลัวต่ออนาคตที่ไม่แน่นอน ตื่นจากความท้อแท้ที่เกิดจากบาดแผลสาหัสทางเศรษฐกิจ ให้เกิดกำลังใจฮึดสู้เพื่อปัจจุบันและอนาคตที่ดีกว่าอย่างมีจุดหมายร่วมกันทั้งชาติ เหมือนอย่างที่พวกเราได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังสงครามและวิบัติภัยทางเศรษฐกิจเมื่อหลายทศวรรษก่อน

    ข้านึกขันที่มีเพื่อนบางคนของข้ากล่าวว่า ผู้บริหารประเทศของไทยหลายคนได้หยิบเหตุผลของเราชาวต่างชาติมาอ้างกับประชาชนเพื่อจะได้ไม่ต้องแก้ไขปัญหายากๆ ของสังคม เสน่ห์ของคำว่า “กลไกตลาดและการค้าเสรี” ช่างหยาดเยิ้มสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการต่อสู้ในทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง เพียงคำเดียวเท่านั้น พวกคนเกียจคร้านก็เอาตัวรอดไปได้เสมอ และประโยชน์ก็ย่อมตกอยู่ในอุ้งมือของเราโดยปริยาย

    เจ้าอย่าให้ใครรู้ว่าเราแอบซ่อนความร่ำรวยของเราในทางอ้อมไว้อย่างสลับซับซ้อนเพียงใด และเราต้องใช้สติปัญญาและเวลาในการวางแผนและปฏิบัติกันมาอย่างทรหดเพียงใด อย่าให้เขารู้ว่า พวกเราสวมหน้ากากของนักเทศน์ที่ยังคงมีบาปมหันต์ติดตัวอยู่ และอย่าให้เขาลอกเลียนความชำนาญของนักการเมืองและข้าราชการประจำของเราได้ ในการออกรับศึกภายนอกจากทุกสารทิศอย่างเป็นระบบในทุกโอกาสที่เราเองมีเจตนาหลบเลี่ยงและละเมิดกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ได้กำหนดขึ้น หรือแสวงหาข้อยกเว้นอันสำคัญ เพื่อให้คนของเรายังคงมีชีวิตที่สุขสบายได้เปรียบคนชาติอื่นต่อมาจนทุกวันนี้

    จงระแวดระวัง อย่าให้คนไทยเลือกผู้นำที่สามารถสมานแผลแห่งความแตกแยกที่กำลังเกิดขึ้นภายในชาติของเขาเอง เพราะนั่นจะทำให้ชาติไทยเกิดพลังสร้างสรรค์คิดพึ่งตนเองมากกว่าพึ่งพาเรา จงส่งเสริมสนับสนุนคนชั้นสูงและคนชั้นกลางในเมืองให้ร่ำรวยฉวยโอกาสต่อไปด้วยเงินทุนและเทคโนโลยี ความตื่นเต้นสนุกสนานและค่านิยมอันฟุ้งเฟ้อ จนชนบทอันกว้างใหญ่กลายเป็นดินแดนที่แปลกแยกในประเทศของตัวเอง เมื่อนั้น ความปริแตกของสังคมก็จะเกิดขึ้นอย่างถาวร และการใช้เล่ห์ของเรากับความแตกแยกนี้ จะช่วยลดแรงเสียดทานและต้นทุนของเราในการแสวงประโยชน์จากประเทศไทย

    พวกเขาจะเสียเวลาเผชิญหน้ากันเองผ่านระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่ไม่ลงตัว ทำให้เกิดช่องว่างแห่งโอกาสสำหรับเรา และเราจะกอบโกยประโยชน์นั้น อย่างมนุษย์ล่องหน คือ ไม่มีใครรู้หรือสงสัยว่าเราเป็นใคร อยู่ที่ใด ทำอะไร ที่ไหนและเมื่อไร และกำลังสิงร่างใดอยู่

    หน้าที่ของเจ้าที่สำคัญคือ คอยติดตามดูกลุ่มต่างๆ ในเมืองไทยที่มีบทบาทในสังคม อย่าให้กลุ่มใดแข็งแรงเกินไปและระวังอย่าให้บทบาทของพวกเราในทางเศรษฐกิจ สังคมและมนุษยธรรมไปเร่งความขัดแย้งภายในเมืองไทยมากเกินควร จนเกิดภาวะไร้เสถียรภาพ เพราะนั่นจะกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของเราในภาพกว้าง คือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดได้

    ข้าพอใจข้อเสนอแนะต่างๆ ของเจ้า แต่ขอชี้ให้เห็นอีกเล็กน้อยว่า ประเทศเป้าหมายของเราไม่ควรถูกปล่อยให้อ่อนแอรอความตายจนกลายเป็นภาระของเราไม่รู้จบ เจ้าต้องใช้ความแนบเนียนช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าการมอบกายถวายตัวให้กับโลกาภิวัฒน์นั้น เป็นการชุบชีวิตและจิตวิญญาณให้ประเทศเล็กๆ ที่เพลี่ยงพล้ำได้มีโอกาสรวมเข้ากับ “โลกศิวิไลซ์” ได้ในที่สุด และจงช่วยเหลือพวกเขาตามจังหวะและวิธีการที่เหมาะสม เพื่อให้พวกเขาก้าวเดินตามวิถีทางที่เรากำหนด

    ช่วยให้พวกเขาแข็งแรงขึ้น แต่อย่าให้แข็งแรงมาก “แข็งแรงขึ้น” คือ พอจะยืนอยู่ได้ด้วยตนเองและมีฐานะดีพอที่ค้าขายกับพวกเราได้เป็นกอบเป็นกำ เป็นหุ้นส่วนที่ไม่เท่าเทียมก็จริงแต่ให้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ดังนั้น การช่วยเหลือคนไทยเท่าที่จำเป็นเพื่อให้รองรับธุรกิจการค้าการลงทุนของเราได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องจำเป็นแต่อย่าเผลอให้งานในระดับสูงแก่พวกเขา จงมอบงานเหล่านั้นแก่ชนชาติของเราและชนชาติอื่นที่เป็นสมุนของเรา เพราะเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่มีจิตใจผูกพันกับประเทศไทยเหมือนคนไทยเอง

    “แต่อย่าให้แข็งแรงมาก” ก็คือ จงให้พวกเขาวนเวียนเสพสิ่งที่เราไม่ต้องการแล้ว หรือติดสิ่งที่เราผลิตคิดค้นขึ้นหรือหยิบยื่นให้ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น โดยเราได้กำไรอย่างงาม

    พยายามอย่าให้พลังของความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวของตัวเองและการวิเคราะห์ความจริงว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งใดไม่ควรค่า เติบโตมากนักในประเทศไทย จงล่อพวกเขาด้วยเงินทอง ความสะดวกสบาย ความทันสมัยสวยงามเริดหรูที่สนองความอยากพื้นฐานของมนุษย์ จงล่อเขาด้วยทฤษฎีอันสูงส่งสลับซับซ้อน ข่าวลือและตัวเลข หลอกล่อให้พวกเขาเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ มากยิ่งๆ ขึ้น ปลูกฝังค่านิยมยาพิษแก่ลูกหลานของพวกเขาด้วยอาวุธแห่งความบันเทิง

    ส่วนข้าในฐานะที่เป็นนายเจ้า จะคอยดูแลไม่ให้เมืองไทยมีเกราะกำบังทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ดีเลิศเช่นในอดีต ข้าจะคอยวางยุทธศาสตร์ไม่ให้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) กลับมาเข้มแข้งและมีอำนาจต่อรองที่ดีในเวทีโลกได้อีก เพราะสิ่งนี้เคยเป็นเกราะชั้นยอดของประเทศไทย วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจทำให้ผู้ใช้เกราะป้องกันนี้หมดแรงที่จะยกเกราะนี้ขึ้นปกป้องชีวิตที่มีอยู่ร่วมกันได้เหมือนเดิมอีก เราจะหันเหความสนใจของพวกเขาไปยังเรื่องที่ “เรา” สนใจ ซึ่งควรที่จะเป็นเรื่องไกลตัวของ “พวกเขา” ออกไปมากขึ้นทุกทีๆ เช่น ปัญหาเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ข้าจะคอยเยินยอให้พวกเขาภูมิใจในหน้าตาที่ได้รับในเวทีโลก แต่จะระวังไม่ให้พวกเขา 10 ประเทศรวมตัวกันเป็นอำนาจต่อรองทางการเมืองและเศรษฐกิจได้จริงๆ อีกต่อไป โดยจะแบ่งแยกและทำลาย อีกทั้งจะแยกสลายความสามัคคี

    ถ้าเจ้าอยากรู้ว่าข้าจะทำอย่างไร ลองหาโอกาสสืบดูจากเพื่อนของเจ้าในประเทศเอเชีย-แปซิฟิก ดูเอาเอง

    และข้าจะคอยดูแลให้กฎระเบียบของโลก เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อความได้เปรียบของเราต่อไป ไม่ว่าในทางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ หรือสังคม มนุษยธรรม เรื่องใดที่ประเทศเล็กๆ คิดต่อสู้ เราก็จะปล่อยให้เขาได้มีเวทีถกเถียงกันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการเจรจาที่ให้ผลจริงจังอะไร เราจะให้ความช่วยเหลือที่เขาต้องการบ้างอย่างผิวเผิน เลี้ยงไข้พวกเขาไปเรื่อยๆ อย่างเช่นที่ได้ทำมากว่า 50 ปีแล้ว ส่วนเรื่องใดที่เป็นประโยชน์ของเรา ข้าจะร่วมมือกับเพื่อนของข้า กดดันให้มีการเจรจาเพื่อผูกพันประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอย่างจริงจังโดยเร็ว และเราจะใช้กฎเหล็กของ “กลไกตลาดและการค้าเสรี” และกฎระเบียบของโลกอื่นให้เป็นประโยชน์

    เจ้าคงพอวางใจได้ว่า ภารกิจของเจ้าจะยังไม่หนักหนาไปกว่านี้อีกมากนัก เพราะเท่าที่ข้าตรวจสอบดู ยังไม่มีผู้กล้ากำเนิดมาในโลกของผู้เสียเปรียบ ปัญญาและความสามัคคียังไม่เกิดร่วมกันในหมู่คนเหล่านั้น เพียงเท่านี้ ก็ลดต้นทุนและความเหน็ดเหนื่อยของเราได้มากแล้ว

    นาย