เรียน หมอใต้ผู้ร่วมชะตากรรม
เมื่อสังคมพัฒนาในเชิงเลียนแบบวิถีชีวิตของคนตะวันตกมากขึ้น ความเชื่อถือ ความนับถือ และความไว้วางใจที่มีต่อผู้ประกอบอาชีพแพทย์ ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่เพียงแต่กระทบถึงแพทย์ผู้ปฏิบัติวิชาชีพ หากแต่จะกระทบถึงคนทั่วไปที่ต้องพึ่งพาแพทย์ และที่เคยมีความเอื้ออารีต่อกัน ไปในอัตราเดียวกัน ความขัดแย้งกันในเชิงความคิดระหว่างนักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ การเงิน การคลัง และนักสังคมศาสตร์ นับวันแต่จะรุนแรงขึ้น เพราะกลุ่มแรกจะมุ่งให้เกิดความเจริญทางวัตถุมากกว่าทางด้านจิตใจ และมักจะเป็นผู้ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอยู่ในสังคมทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในเชิงวัตถุ ยิ่งผู้คนมีวิถีชีวิตที่รีบร้อน มุ่งหน้าสร้างโภคผลทางวัตถุมากเท่าไร แนวคิดของคนในกลุ่มแรกยิ่งได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นรูปธรรม ส่วนนักคิดกลุ่มที่สองนั้นไม่สามารถทำให้มองเห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ เมื่อไรเกิดผลในทางรูปธรรมขึ้น ก็แปลว่าสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปจนเกินจะหันกลับได้
ยิ่งเกิดความขัดแย้งในทางการเมืองในสังคมมากเท่าไร รัฐบาลที่มุ่งหวังความนิยมจากประชาชนก็ยิ่งจะหันทิศทางของสังคมไปในเชิงวัตถุมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถทำให้คนทั่วไปมองเห็นความเปลี่ยนแปลง ในทางที่คนนึกว่าจะดีต่อวิถีชีวิตของตนได้ง่ายขึ้น ดังที่คุณหมอคงจะมองเห็นนโยบายใหม่ ๆ ที่ถูกผลักดันในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมา
ในส่วนที่เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการยกเว้นไม่เอาผิดในกรณีแพทย์ทำแท้ง กับกรณีแพทย์รักษาคนไข้แล้วคนไข้ตายนั้น ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า การทำแท้งที่กฎหมายจะไม่เอาผิด ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไข ๒ ประการ คือ ๑ จำเป็นต้องกระทำเพื่อสุขภาพของหญิง หรือ ๒ หญิงมีครรภ์เนื่องจากถูกกระทำโดยไม่ชอบ เช่นถูกข่มขืน เป็นต้น อันเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์โดยตรงของหญิง ส่วนการที่แพทย์รักษาคนไข้แล้วคนไข้เสียชีวิตนั้น จะเข้าข่ายเป็นความผิด ก็ต่อเมื่อแพทย์ได้กระทำโดยประมาท
อันคำว่า "ประมาท" ในกฎหมายอาญานั้น ก็ค่อนข้างจะรัดกุม คือต้องเป็นการกระทำโดยปราศจากการระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีความวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เพราะฉะนั้น โดยผลของกฎหมายดังกล่าว หากแพทย์ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร และเกิดการเสียชีวิตขึ้น ก็จะไม่เข้าข่ายเป็นการกระทำโดยประมาท
แต่แม้ในที่สุดแพทย์ที่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรจะพ้นจากความผิดได้ แต่ความเดือดร้อนจากการถูกฟ้องร้องก็คงต้องมีอยู่ และความเดือดร้อนนั้นจะเป็นความเดือดร้อนชนิดที่ไม่เคยประสบกันมาก่อน ครั้นจะออกกฎหมายห้ามไม่ให้คนไข้ฟ้อง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะเท่ากับไปจำกัดสิทธิพื้นฐานของคนทั่วไป แต่ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ต่อไปแพทย์คงจะลำบากมากยิ่งขึ้น ความเอื้ออารีที่ยังพอมีเหลือต่อกันระหว่างแพทย์กับคนไข้ก็จะหมดไปในที่สุด ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อสังคมเป็นส่วนรวม ทางออกเท่าที่นึกได้ในขณะนี้ก็คือ ควรจะมีกลไกอย่างน้อย ๒ ด้านที่ป้องกันไม่ให้แพทย์ต้องเป็นจำเลยในคดีอาญาได้ง่ายจนเกินไป กล่าวคือ ถ้าเป็นกรณีที่ผู้เสียหายร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ก็ควรมีคณะบุคคลที่ประกอบด้วยตำรวจ อัยการ และผู้มีวิชาชีพแพทย์จากแพทยสภามาร่วมพิจารณาเสียก่อน ถ้าเห็นว่าเป็นกรณีที่มิได้เกิดจากความประมาท ก็สั่งไม่ฟ้องเพื่อยุติเรื่อง ส่วนถ้าคนไข้ยังติดใจก็ให้ไปดำเนินคดีทางแพ่ง สำหรับกรณีที่คนไข้นำคดีไปฟ้องศาลเสียเอง ซึ่งศาลจะต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน ก็ต้องกำหนดกลไกในการไต่สวนมูลฟ้องให้เข้มงวดกว่าคดีอาญาธรรมดา กล่าวคือในคดีอาญาธรรมดานั้น ศาลเพียงดูว่า มีการกระทำที่อ้างว่าเป็นความผิดเกิดขึ้นหรือไม่ และเกี่ยวข้องกับผู้ถูกฟ้องหรือไม่ เช่นในกรณีคนไข้ตาย ศาลก็ดูว่ามีการตายเกิดขึ้นหรือไม่ และแพทย์ที่ถูกฟ้องนั้นเป็นผู้รักษาคนไข้นั้นหรือไม่ เมื่อได้ความเพียงเท่านี้ศาลก็อาจประทับรับฟ้อง ส่วนที่จะพิสูจน์กันว่าเป็นความประมาทหรือไม่ ศาลถือว่าจำเลยมีโอกาสจะไปต่อสู้คดีได้ แต่ความยุ่งยากของจำเลยในการถูกดำเนินคดีในฐานะจำเลยนั้นมีอยู่มากมายจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีความผิด ดังนั้น หากมีการสร้างกลไกอีกกระดับหนึ่ง คือให้ศาลดูถึงขั้นที่ว่ามีความประมาทเกิดขึ้นหรือไม่ โดยให้ศาลรับฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภาประกอบด้วย ก็อาจช่วยทำให้แพทย์ที่ปฏิบัติดีแล้วรอดพ้นจากการเป็นจำเลยในคดีอาญาไปได้ คงมีความยุ่งยากแต่เฉพาะในขั้นตอนไต่สวนมูลฟ้อง (ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้)
การจะทำเช่นนี้ได้ทุกฝ่ายจะต้องปรึกษาหารือกันเพื่อแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คุณหมอจะเอาแนวคิดคร่าว ๆ นี้ไปลองสานต่อดูบ้างก็ได้
ดีใจที่ยังได้รับข่าวคราวจากคุณหมอ พอหายไปนาน ๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ หวังว่าความดีของคุณหมอจะคุ้มครองคุณหมอและครอบครัวให้ปลอดภัยตลอดไป
มีชัย ฤชุพันธุ์ 21 กุมภาพันธ์ 2549 |