เรียน ท่านอาจารย์มีชัยครับ
ผมอยากรบกวนขอความเห็นของท่านอาจารย์เรื่องระบบกฏหมายของไทย
ผมได้รับฟังจากผู้ทำงานกฏหมายบางท่านมาว่า ระบบกฏหมายของเมืองไทยนั้น เป็น ระบบกล่าวหา ซึ่งหมายความคร่าวๆก็คือ จะกล่าวหาว่าผู้ใดกระทำผิด ก็ต้องมีหลักฐานมัดตัวเขาอย่างดี จึงจะกล่าวหาเขาได้ ซึ่งตรงข้ามกับลักษณะการออกแบบกฏหมายในต่างประเทศ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้พ้นจากข้อกล่าวหานั้น
ระบบแบบนี้เหมือนกับกึ่งๆสนับสนุนคนทำผิด และดูเหมือนจะต้องใช้เวลานานกว่าที่ควรเป็นเพื่อเอาผิดกับบุคคลนั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าผมรู้ว่าบุคคลหนึ่งโกงหรือคอรัปชั่น แต่ผมไม่มีหลักฐานชัดเจนมัดตัวเขาอย่างเต็มที่ ผมหรือผู้เสียหายก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการใดๆได้ และหนำซ้ำ บุคคลนั้น ซึ่งทำผิดจริง ยังพูดหน้าตาเฉยได้อีกว่า ไปหาหลักฐานหรือใบเสร็จมาสิ โดยที่ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองหรือทำอะไรเลย และยังอาจทำผิดต่อไปได้เรื่อยๆโดยไม่เดือดร้อนอะไร แถมด้วยถ้าหลักฐานไม่พอเพียง ศาลยกฟ้อง ก็เปรียบเสมือนการยืนยันความบริสุทธิ์ให้คนเลวเสียอีก หรือในกรณีอื่นๆก็เช่นกัน คนทำผิดนั่งเฉยๆ แต่คนดีๆต้องวิ่งวุ่นเพื่อหาหลักฐานให้ได้
ผมพอทราบว่า ถ้าเราใช้ระบบกลับกัน คนดีก็อาจถูกกลั่นแกล้งให้ต้องวิ่งพิสูจน์ตัวเองได้เช่นกัน
อาจารย์มีความเห็นอย่างไรครับ ที่ผมรับฟังมานั้นถูกต้องไหม (ผมเห็นด้วยกับเขามาก) และถ้าถูกทำไมไทยเราจึงยังใช้อยู่ มันเหมาะสมกับประเทศไทยเราอย่างไรครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ
เรียน S.C.
ระบบการดำเนินกระบวนการยุติธรรมในทางอาญามี ๒ ระบบ คือ รบบกล่าวหา และระบบไต่สวน แต่ไม่ว่าระบบใด ก็จะมีหลักอยู่ว่าต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเขาได้กระทำความผิด ถ้าทำอย่างที่คุณว่าคนบริสุทธิ์นั่นแหละจะเดือดร้อน เพราะถูกกล่าวหาได้ง่าย ๆ แต่การจะพิสูจน์ว่าตนบริสุทธิ์นั้นเลือดตาแทบกระเด็น แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตจนร่ำรวยเงินทอง หรือการฟอกเงินนั้น คนถูกกล่าวหาจะต้องเป็นคนพิสูจน์ว่าตนได้เงินนั้นมาโดยชอบอย่างไร