พี่ชายกับพี่สะใภ้แต่งงานอยู่กินกันมาประมาณสิบห้าปี มีลูกด้วยกันสองคน ในช่วงที่อยู่กินกันนั้นพี่สะใภ้มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหลายอย่างเป็นที่รับรู้กันในหมู่พี่น้องและเพื่อนบ้าน สร้างความทุกข์ให้กับพ่อและแม่มาโดยตลอด และเมื่อประมาณเจ็ดเดือนที่ผ่านมาได้แยกทางกันโดยเกิดจากการที่พี่สะใภ้ทำร้ายร่างกายพี่ชายได้รับบาดเจ็บโดยใช้ไม้ตีศรีษะ โดยพี่ชายไม่ได้แจ้งความใดๆ แต่นั้นมาพี่ชายก็หลบไปอยู่ที่อื่น โดยก่อนหน้าเกิดเหตุประมาณหนึ่งเดือนพี่ชายและพี่สะใภ้เพิ่งจดทะเบียนสมรสกัน ถ้าพี่ชายเลิกกับพี่สะใภ้ ปัญหามีอยู่ว่า
1. ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พี่ชายและพี่สะใภ้ ทำกินบนที่ดินของพ่อ ( นส3 ก ) ซึ่งเป็นสวนยางพารา ที่ดินแปลงนี้ยังเป็นชื่อพ่อ แต่เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าพ่อจะยกให้พี่ชาย ถามว่าใครจะมีกรรมสิทธิในที่ดินแปลงนี้ครับ
2. พ่อจะสามารถห้ามพี่สะใภ้ไม่ให้ทำกินบนที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่ครับ หรือ พ่อจะมีสิทธิขายไม้ยางพาราในที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่ จะผิดกฎหมายไหมครับ
3. บ้านและที่ดิน ( อีกโฉนดหนึ่ง ) ที่พี่ชายและพี่สะใภ้อาศัยอยู่ด้วยกันนั้นได้มาจากการโอนให้จากพ่อ โดยเป็นชื่อพี่ชาย ซึ่งปัจจุบันพี่สะใภ้อาศัยอยู่กับลูก จะเป็นกรรมสิทธิของใครครับ
4. พี่ชายอยากดูแลลูกคนเล็ก อยากจะอย่าขาดกัน แนวโน้มจะเป็นเช่นไรครับ
5. พ่อหรือแม่จะแจ้งความทำร้ายร่างกายแทนลูกได้ไหมครับ และ แจ้งย้อนหลังได้หรือไม่ครับ
ขอบคุณครับ
1. ถ้ายังไม่ได้ยกให้ใคร โดยเป็นชื่อของพ่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ที่ดินนั้นก็เป็นสิทธิของพ่อ ยังไม่มีใครมีสิทธิทั้งนั้น จนกว่าพ่อจะไปโอนให้ใคร หรือพ่อตายไป ที่ดินนั้นก็เป็นมรดกที่จะตกได้แก่ลูก ๆ ทุกคน ๆ ละเท่า ๆ กัน
2. ถ้าไม่อยากให้เขาทำกินต่อไป ก็ห้ามได้ ส่วนไม้ยางนั้นจะขายได้หรือไม่ได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นคนปลูกไม้ยางนั้น ถ้าพ่อปลูกมาแต่แรก ต้นยางก็เป็นของพ่อจะขายหรือยกให้ใครก็ได้ แต่ถ้าพ่ออนุญาตให้พี่ชายกับพี่สะใภ้ปลูกขึ้น ต้นยางก็เป็นของเขา พ่อจึงจะเอาไปขายไม่ได้
3. ถ้าพ่อโอนให้พี่ชายแล้ว ก็ย่อมเป็นของพี่ชาย
4. ถ้าพี่ชายอยากหย่า แนวโน้มก็คงจะหย่ากันกระมัง ไม่ใช่หมอดู เลยเดาไม่ค่อยถูกหรอกว่าจะเป็นอย่างไร เขาอาจกลับมาคืนดีกัน หรือหย่ากัน หรือแยกกันอยู่ก็ได้ ใครจะไปเดาใจเขาได้
5. ถ้าพี่ชายยังมีชีวิตอยู่ ก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เขาอยากแจ้งความเขาก็คงแจ้งเองแหละ