ถูกฟ้องล้มละลาย
เรียนอาจารย์ ที่นับถือ
เนื่องด้วยเมื่อปี 2534 ดิฉันไปรับจ้างทำบัญชีให้โครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ด้วยเห็นว่าเขาเป้นลูกค้าเมื่อเขาขอให้ช่วยลงชื่อซื้อบ้านเพื่อให้ครบเฟรสจะได้นำเข้าธนาคารพร้อมกัน โดยที่ดิฉันไม่ต้องเสียเงินดาวน์เลยและเขายังจะให้เงินด้วย ประมาณ 50,000.-บาท เชื่อเขาเมื่อทำนิติกรรมเสร็จแล้วเขาบอกว่าธนาคารไม่ปล่อยเงิน จึงไม่ได้ให้ดิฉันตามสัญญา แต่เขาบอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะเขาเป็นคนค้ำประกัน เขาจะดูแลให้เอง เมื่อธนาคารทวงถามดิฉันจึงรู้ว่าเขาไม่ได้ส่งธนาคารเลย แต่เขาก็ยังบอกเหมือนเคยว่าไม่ต้องกังวล เขาเป็นผู้คำประก้นอยู่ จนกระทั่งธนาคารเรียกคืนทั้งจำนวนเพราะไม่ได้ส่งเลย เมื่อปี 2535 ดิฉันจึงได้เข้าไปพบเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อบอกความจริงให้ฟัง และธนาคารก็บันทึกข้อมูลไว้และบอกว่าจะกันดิฉันไว้เป้นพยาน เมื่อฟ้องศาล แต่กว่าจะฟ้องศาลล่วงเลยถึงปี 2540 ฟ้องดิฉันและสามีเท่านั้นไม่เห็นฟ้องผู้ค้ำประกันเลย ทั้งที่เจ้าตัวเขาก็บอกว่าเป็นผู้ค้ำประกัน และตอนเป็นหมายทนายของธนาคารก็มีสำเนาส่งถึงผู้ค้ำประกันด้วย เมื่อศาลสั่งให้ชำระหนี้และยึดบ้านไปขายทอดตลาด เขาก้ยังบอกอีกว่า ไม่ต้องห่วงเขาจะต้องไปดูแล เพราะถ้าบ้านขายได้ราคาต่ำเขาก็ต้องใช้มากขึ้น ดิฉันก็ยังเชื่อเขาอีก และในขณะเดียวกันดิฉันก็กู้ธนาคารแห่งใหม่เพื่อพัฒนาธุรกิจของตัวเอง ยังถามธนาคารผู้ให้กู้แห่งใหม่เลยว่าดิฉันยังมีเครดิตเสียอยู่หรือใหม่ ธนาคารแห่งใหม่บอกว่าไม่มีและให้ดิฉันกู้เงินมาทำธุรกิจถึง 2,000,000. บาท เมื่อปี 2548 ทำให้ดิฉันดีใจและตั้งใจสร้างหลักฐานตัวเอง แต่อยู่มา เดือน มกราคม 2550 ดิฉันตกใจมากเมื่อได้รับหมายศาลถูกฟ้องล้มละลาย จากเงินต้น 450,000.- บาท หัก ราคาบ้านที่ขายทอดตลาดแล้วโดยธนาคารซื้อไว้เอง 160,000 ที่เหลือจึงเป็นดอกเบี้ย รวมแล้ว 1,300,000-บาท จึงจะเรียนปรึกษาอาจารย์ให้แนะนำว่า ควรจะทำอย่างไรดี เพราะดิฉันไม่เคยคดโกงใครจึงคิดว่าคงไม่มีใครทำร้ายเรา แต่เรื่องจริงแล้วไม่ใช่ จึงจะเรียนถามอาจารย์ว่า
1. จะขอให้ศาลล้มละลายกลางพิจารณาคดีใหม่เพื่อให้ฟ้องผู้ค้ำประกันมาใช้หนี้ร่วมด้วยได้หรือไม่ เพราะความจริงแล้วดิฉันไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากบ้านนั้นเลย เจ้าของโครงการบอกว่าเป้นห้องริมขายง่าย จะรีบขายให้ไว แต่ไม่เป้นไปอย่างที่บอก
2.ถ้าธนาคารฟ้องศาลเสียแต่แรก ๆ ที่ขาดส่ง ยอดเงินก็คงไม่มากขนาดนี้ เพราะเขาไม่ได้ส่งเลยสักงวดเดียว จะนำมาเป้นข้ออ้างเพื่อลดจำนวนลงได้หรือไม่
3.ดิฉันต้องรับใช้ให้เขาจริงๆ หรือ เสียกำลังใจเสียเวลาทำมาหากินเหน็ดเหนื่อยต้องนำมาให้เขาหมด แทนที่จะฟ้องเสียแต่ตอนที่เรายังไม่มีอะไร ซึงครั้งแรกก็ไม่คิดว่าธนาคารจะปล่อยกู้ด้วย เพราะเราไม่มีอะไรจริงๆ แม้บัญชีเงินฝากธนาคารยังตอบเจ้าหน้าที่ธนาคารไปเลยว่าไม่มี แต่ธนาคารก็ปล่อยกู้ออกมาได้แทนที่จะช่วยปฏิเสธเจ้าของโครงการแทนเรา เพราะดิฉันเกรงใจเขา ซึ่งเป็นลูกค้า
ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ ศาลนัดครั้งแรกวันที่ 2 ก.พ.2550 |