การค้ำประกัน
เรียนอาจารย์มีชัยที่เคารพ
ปัจจุบันดิฉันอายุ 48 ปี ดิฉันหย่ากับสามีตั้งแต่ปี 2546 โดยลูกสามคนอยู่กับดิฉัน ดิฉันไม่เอาทรัพย์สมบัติใดๆเลยขอเพียงแต่ให้เขาหย่าให้ดิฉันและดิฉันก็ได้ตั้งตัวใหม่จากศูนย์ จนปัจจุบันก็มีกิจการบริษัทเป็นของตนเองส่วนตัวเขาก็เริ่มแย่ลงเป็นหนี้เป็นสินมากมายจนธนาคารฟ้อง แต่ดิฉ้นไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เลยไม่ว่าทั้งก่อนหย่า หรือปัจจุบันเพราะเขาไม่ยอมขายทรัพย์สินที่มีอยู่ซึ่งถ้าเขาขายก็สามารถ coverกับหนี้สินแต่เขาไม่ทำ ดิฉันต้องขึ้นศาลในวันที่ 29 เมษายน 2551 ในฐานะคนค้ำประกัน วงเงินให้เขานำเงินออกมาใช้ในการหมุนเวียนทำธุรกิจ โดยมี ห้างหุ้นส่วนเป็นจำเลยที่ 1 ตัวอดีตสามีเป็นจำเลย ที่ 2 พี่สาวของเขานำบ้านของเขาไปจำนองค้ำ เป็นจำเลยที่ 3 ส่วนดิฉันเป็นจำเลยที่ 4 ดิฉันจนใจจริงๆไม่ทราบว่าจะไปปรึกษาใคร เพราะทางอดีตสามีก็ไม่ให้ความร่วมมือใดๆเลย และดิฉันก็สงสารพี่สาวเค้าด้วยที่เค้าก็อุตส่าห์ช่วยให้น้องชายทำธุรกิจ แต่ก็รู้สึกว่าคนค้ำประกันจะตกในที่นั่งลำบากกว่า ลูกหนี้จริงๆเสียอีก ก่อนหน้าที่จะหย่าสามีก็บังคับให้ดิฉันเอาบ้านที่คุณแม่ให้ดิฉันไปจำนองเพื่อให้เขาได้ใช้วงเงิน แต่เมื่อหย่าเขาก็มิได้นำพากับความลำบากของดิฉัน ดิฉันก็ไปกู้หนี้ยืมสินเขามาเพื่อนำไปไถ่ถอน และขายบ้าน ใช้หนี้และนำเงินส่วนที่เหลือมาสร้างเนื้อสร้างตัวจนทุกวันนี้ ดิฉันอยากถามท่านอาจารย์ว่า ดิฉันพอจะมีหนทางใดสู้คดีบ้าง เพระทั้งๆที่รู้ละคะว่ายากแต่ก็ไม่อยากอับจนหนทาง อยากให้ท่านได้ช่วยคนที่หมดทางต่อสู้ 2 คนคือ พี่สาวเขา กับดิฉัน จะเป็นไปได้ไหมที่จะต่อสู้ในแง่ที่ว่า
1เราเป็นคู่สัญญากับ ธนาคารไทยทนุ เมื่อมีการโอนเปลี่ยนมือ เป็นธนาคารทหารไทย เราไม่ยอมเป็นจำเลยกับทหารไทย เราเป็นคู่กรณีกับธนาคารไทยทนุ
2มีทางเป็นไปได้ไหมที่จะให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ขายทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ทั้งหมด
แต่ทนายส่งคำให้การพยานเบื้องต้นมาว่าให้ดิฉ้นรับผิดหนี้แทนจำเลยที่ 1 ไม่เกิน 700,000ในคดีแรกเพราะที่ดินที่นำไปจำนองมีมูลค่า 500,000บาท แต่ขอวงเงินไป 700,000บาท ถ้ามาถึงตรงนี้ เราสามารถสู้ได้ไหมคะว่าจำนอง 500,000ก้อรับผิดไม่เกิน 500,000บาท กรุณาด้วยเถอะคะไม่รู้ว่าจะโดนทางอดีตสามีกับทนายเขาหลอกให้เรารับผิดชอบเบื้องต้นนี้ก่อน 700,000บาทหรือไม่
ดิฉันไม่ทราบจะหวังพึ่งใครเพราะการจ้างทนายก็ต้องศึกษาอย่างดีเหมือนกัน แต่เหมือนจวนตัวคะ เพราะเลี้ยงดูลูกสามคน ก็หนักมากพอสมควร คนโดเรียนกฎหมายที่ธรรมศาสตร์ ขึ้นปี 3 คนกลางเป็นนักเรียนทุน ABAC ขึ้นปี 2 ส่วนคนเล็ก ขึ้น ม.6 ดิฉันเป็นคนทำอาชีพสุจริตไม่เคยคิดคดโกงใคร ตั้งใจทำงานเพื่อช่วยเหลือ ประเทศชาติ และสังคมมาโดยตลอด และคิดว่าเมื่อลูกชายคนโต เรียนจบ อยากให้เขาได้ดำเนินรอยตาม อาจารย์มีชัยอย่างนี้บ้าง เค้าอยากเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย แต่เขาอยากสอน เป็นภาษาอังกฤษ และเยอรมัน เพราะเขาเคยได้รับทุนไปเรียนที่ สวิส 1 ปี และที่ สวีเดน 1 ปี ดิฉันสอนเขาเสมอว่ากฎหมายเมืองไทยมีหลายอย่างต้องแก้ไขอยากให้เขาสำนึกบุญคุณที่เกิดมาในใต้ร่มบารมีของในหลวง สอนเขาให้ทำงานเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ส่วนคุณพ่อเขาเป็นคนจีน ไม่รักแผ่นดินที่ตัวเองเกิดเลย ทำให้ทัศนคติไม่ตรงกันอย่างมากคะ หวังว่าจะได้รับคำชี้แนะก่อนขึ้นศาลวันมะรืนนะคะ
ด้วยความเคารพรักอย่างสูง
จิดาภา(ซอย ฤชุพันธ์ ลาดบัวหลวง) |