เนื่องจากดิฉันเป็นผู้ค้ำประกัน การซื้อรถยนต์ และผู้เช่าซื้อได้ส่งมอบรถคืนบริษัทไฟแนนซ์แล้ว เนื่องจากไม่สามารถส่งรถต่อไปได้ บริษัทแจ้งให้ทราบว่าจะขายทอดตลาดรถคันดังกล่าว และดิฉันติดต่อไปยังบริษัทซึ่งบริษัทแจ้งว่าได้ขายทอดตลาดรถคันดังกล่าวแล้วปรากฎผลว่า ขาดทุน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 104,500 บาท (แต่ขณะนี้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจากบริษัท) ด้วยความวิติกกังวลดิฉันจึงติดต่อไปยังตัวแทนของบริษัทที่มาดำเนินการเรื่องเช่าซื้อให้ ตัวแทนดังกล่าวให้คำแนะนำว่า หากบริษัทแจ้งให้ไปเจรจากับบริษัททางที่ดีไม่ควรไป ควรปล่อยให้บริษัทดำเนินการฟ้องศาลไปเลย เนื่องจากถ้าไปเจรจากับบริษัท บริษัทจะลดมูลหนี้ให้จำนวนน้อย แต่ถ้าปล่อยให้บริษัทดำเนินการฟ้องศาล และผู้เช่าซื้อหรือผู้ค้ำประกัน ไปแถลงต่อศาล เพื่อขอความเห็นใจว่า เหตุที่เราคืนรถดีกว่าเราไม่มีเงินส่ง แล้วปล่อยให้บริษัทมายึดรถ แล้วต้องเสียเวลาติดตามรถ ดังนั้น ผู้เช่าซื้อคืนรถ รวมทั้งต้องเสียเงินดาวน์ (ประมาณ 60,000 บาท) และได้ส่งรถไปแล้วประมาณ 5 งวด ๆ ละ ประมาณ 9,000 - 10,000 บาท ซึ่งเป็นรวมมูลค่าแล้วประมาณ 100,000 - 120,000 บาท แล้วหากยังต้องให้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน ต้องมาชดใช้ในส่วนขาดทุนอีก ก็ขอความเห็นใจให้ศาลพิจารณา ซึ่งศาลน่าจะพิจารณาลดมูลหนี้ให้ได้มากกว่าบริษัท
ดิฉันจึงขอถามในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1. ผู้เช่าซื้อควรจะไปเจรจากับบริษัท หรือควรจะปล่อยให้บริษัทดำเนินการฟ้องศาล ดีค่ะ
2. ความน่าจะเป็นหาก ผู้เช่าซื้อหรือผู้ค้ำไปแถลงต่อศาล เมื่อศาลมีหมายนัด ศาลพิจารณาคดีลดมูลหนี้ ประมาณเท่าไหร่ เพราะตัวแทนแนะนำว่า ศาลน่าจะพิจารณาคดีลดมูลหนี้ได้มากกว่า การไปเจรจากับบริษัท จริงหรือไม่ค่ะ
1. การไปเจรจาย่อมดีกว่าปล่อยไปตามบุญตามกรรม เพราะเขาจะฟ้องเมื่อไรก็ไม่รู้ ดอกเบี้ยก็จะเดินไปเรื่อย ๆ ในอัตราสูงสุด และเมื่อแพ้คดีแล้วยังจะต้องเสียค่าทนาย ค่าขึ้นศาล แทนเขาด้วย
2. ไม่น่าจะจริงหรอก