ถูกฟ้อง
ปี2545 พี่ชายซื้อบ้านที่กรุงเทพในชื่อภรรยาน้อย
ปี2547 พี่ชายมาขอเอาโฉนดบ้านที่หาดใหญ่ของผมไปจำนองค้ำประกันหนี้ของพี่ชายวงเงิน 1,700,000 บาท
ปี2552 วันที่ 3 พ.ย. มีหมายศาลมาที่บ้านให้ไปไกล่เกลี่ย ในวันที่ 14 ธ.ค.2552
มีเอกสารท้ายฟ้องว่า" ภาระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จำนวน 1,700,000 บาท
วันที่ 3 พ.ย.52 จากวันที่15/9/51 ถึงวันที่3/11/52 จำนวน 415 วัน อัตราร้อย 18
เงินต้นคงเหลือ 1,700,000 บาท ดอกเบี้ย 347,917 บาท รวมเงินต้นและดอกเบี้ย 2,047,917 บาท"
ผมอยู่หาดใหญ่จีงทำหนังสือมอบอำนาจให้น้องชายที่กรุงเทพดำเนินการแทนทุกอย่าง มีการไปคุยขอลดหย่อนภาระหนี้ ทางธนาคารก็ให้ทำหนังสือขอลดหย่อนไปทำไปหลายครั้งธนาคารก็ไม่อนุมัติบอกให้ทำไปใหม่ ศาลก็นัดไปไกล่เกลี่ย เพราะพี่ชายยื่นอุทรณ์ขอลดดอกเบี้ย ศาลสั่งให้ธนาคารลดดอกเบี้ยให้เหลือ 13 %
ซึ่งทางน้องชายก็บอกทนายของธนาคารตลอดว่าทางหาดใหญ่ยินดีรับผิดชอบในโฉนดของหาดใหญ่แต่ขอให้ธนาคารลดหนี้ให้หน่อย ทนายก็บอกให้ทำหนังสือขอไปที่ธนาคาร ธนาคารคงจะลดให้ ก็ทำไปแต่ธนาคารก็ไม่อนุมัติขอไปขอมา
จากหนี้ปี2551 ถึงตอนนี้ปี2554แล้วตอนนี้ยอดหนี้เป็น 3 ล้านกว่าแล้ว น้องชายก็ปรึกษาทนายของธนาคารว่า ควรทำอย่างไรดี ทางทนายบอก ทำไมธนาคารจึงไม่ยอมรับข้อเสนอของเราซักทีมันก็เกินไปนะ เขาบอกว่าต่อไปนี้ไม่ต้องไปติดต่อธนาคารแล้ว รออีก 10 ปีให้ธนาคารมายึดบ้านให้ศาลสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย แล้วค่อยหาคนไปซื้อออกมา ถ้าธนาคารใด้เงินไม่พอใช้หนี้ เขาสามารถยึดทรัพย์ของข้าพเจ้าได้หรือไม่ ทรัพย์มี สลากออมสิน พันธบัตร หุ้นของภรรยา เงินในบัญชี ของผม ภรรยา ลูก เครื่องมือประกอบอาชีพ รถกระบะ ผ่อนอยู่ รถเครื่อง โฉนดบ้านและที่ดินที่แม่ภรรยายกให้ภรรยา อยู่ในแบ้งผ่อนหมดแล้ว หลายปีแต่ยังไม่ได้ทำเรื่องโอนชื่อกลับมาเป็นของภรรยา ผมควรเชื่อที่ทนายบอกดีไหม แต่ผมก็ไม่อยากจ่ายธนาคารตามที่ธนาคารกำหนด ผมจะจ่ายยอดที่ศาลสั่งมาครั้งแรกจะได้ไหม ทรัพย์สินที่บอกมีหลายก็จริง แต่มีอย่างละนิดหน่อยเท่านั้น |