ถ้าคุณเข้าใจฐานะของผู้ค้ำประกันได้ถูกต้อง คุณคงไม่เสียเวลาเสียเงินไปทำอย่างที่ทำ เพราะฐานะของผู้ค้ำประกันก็คือการตกลงยอมชำระหนี้แทนลูกหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระ ไม่ว่าจะไม่ชำระเพราะเขาหนี้หน้าไป หรือไม่หนีไปไหนแต่ไม่ชำระเสียเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ ที่คุณว่าการกระทำของเจ้าหนี้ก็เท่ากับคนค้ำประกันซวยตลอดกาล นั้นน่ะ เป็นความจริงอยู่แล้ว เพราะความซวยน่ะเริ่มตั้งแต่คุณตัดสินใจไปค้ำประกันเขาเข้า ความซวยนั้นจะมีอยู่ตลอดไปจนกว่าลูกหนี้เขาจะชำระหนี้จนครบถ้วน การที่ลูกหนีี้ไม่ชำระหนี้ ทางเดียวที่ผู้ค้ำประกันจะทำได้ก็คือรีบชำระหนี้แทนเสียโดยเร็ว มิฉะนั้นดอกเบี้ยในอัตรามหาโหดจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ในระหว่างที่คุณวิ่งเต้นตามหาเพื่อนคุณก็ดี ในระหว่างนี้ก็ดี ดอกเบี้ยก็วิ่งไปทุกวัน และดอกเบี้ยเหล่านั้นนั่นแหละคุณต้องใช้แทนเขาทั้งนั้น อันที่จริงสมมุติว่าตอนนั้นเขายึดรถมาได้ เขาก็คงนำมาขายในราคาถูก ๆ ได้เงินมาก็เอาไปชำระดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ บางทีก็ไม่เหลือเงินชำระเงินต้นเลย เงินต้นก็ผลิตดอกเบี้ยขึ้นใหม่ และก็ยังเป็นภาระของคุณที่คุณจะต้องชำระในฐานะผู้ค้ำประกันอยู่นั่นเอง บางทีนึกว่าเรื่องคงจบแล้ว พอมารู้อีกที หนี้เดิมนั้นเพิ่มขึ้นเป็นเงินล้านก็ได้ การที่คุณรู้ว่าเพื่อนคุณอยู่ไหนและยังมีรถอยู่น่ะดีแล้ว หากชำระหนี้แทนเขาหมดแล้วยจะได้ไปฟ้องร้องไล่เบี้ย และเมื่อชนะคดีีแล้วคุณก็เป็นเจ้าหนี้โดยตรงจะได้ไปยึดรถมาขายเอาเงินคืนได้ หรือเขามีทรัพย์สินอื่นจะได้ยึดเอามาเสียคราวเดียวกันเพื่อชำระหนี้ที่คุณต้องชำระแทนเขา การค้ำประกันคนนั้นโอกาสซวยมีมากกว่าเฮ็ง ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปเที่ยวได้ค้ำประกันใครเขา