ข้อพิพาทเรื่องที่ดิน
อาจารย์ค่ะหนูมีเรื่องร้อนใจจะปรึกษาค่ะ
1. ที่ดินไม่ใช่ที่ดินของหนู แต่พ่อแม่และหนูอยู่มานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2530 จนปัจจุบัน โดยเจ้าของที่ดิน (ตาหอยซึ่งเป็นสามียายตุ๋แต่ตาหอยไม่มีโฉนดเพราะเป็นคนจีนต่างด้าวสมัยก่อน) เป็นคนให้อยู่ (โฉนดเป็นชื่อยายตุ๋) แม่หนูเป็นลูกสะใภ้ หนูเป็นหลาน
2. ที่ดินเดิมเป็นบ่อไม่สามารถอาศัยได้ต้องถมเป็นเงินมากกว่า 140,000 บาท โดยตาหอยเป็นคนให้ถมและต้องปลูกบ้านเอง และมีการปลูกไม้ยืนต้นไว้ประมาณ 20 ต้น อายุมากกว่า 15 ปีโดยใช้ประโยชน์จากที่ดินประมาณ 3 งาน จากทั้งหมด 5 ไร่
3. ตลอดเวลาตาหอย มาเอาเงินและสิ่งของของแม่ไปใช้ตลอดเวลา 13 ปี รวมเป็นทรัพย์สินมากกว่า 1,000,000 บาท โดยทุกครั้งบอกว่าขอยืมและจะยกที่ตรงนี้ให้ (แต่ไม่เคยคืนเลย) แม่เลยยอมเพราะเชื่อว่าเป็นคนพูดของผู้ใหญ่ (พ่อสามี) และมี พยานแวดล้อม เกือบทั้งหมู่บ้าน
4. ต่อมามีคนมาขายที่ข้างๆ ให้ ในราคา 180,000 บาท แต่ตาหอย (พ่อสามี)ไม่ให้ซื้อเพราะบอกว่าเป็นลูกสะใภ้ จะยกที่ให้ ถ้าไปซื้อที่คนอื่นจะทำให้เขาเสียหน้า และใช้คำพูดหยาบคาบ ว่าถ้าซื้อ ก็ตัดญาติ ไม่ต้องมานับถือกัน แม่หนูเป็นคนซื่อก็เชื่อมาตลอด เพราะเป็นคำพูดของผู้ใหญที่นับถือ
5. ระหว่างที่อาศัยที่ดินตาหอยอยู่ การกินอยู่และค่าใช้จ่าย เช่นค่าน้ำ ค่าไฟของตาหอย แม่ข้าพเจ้าเป็นคนออกให้ ตาหอยซึ่งเป็นพ่อสามีใช้มาตลอด จนแกตาย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่น เช่นกรณีพาผู้หญิงมานอนที่บ้านตนเอง แล้วไม่มีเงินจ่าย แม่ข้าพเจ้าก็ต้องไปจ่ายให้ เพราะผู้หญิงจะฟ้องข้อหาขมขื่นเอาติดคุก
6. ส่วนบิดาของข้าพเจ้า ซึ่งมีสติไม่สมบูรณ์ไม่เคยเลี้ยงดูข้าพเจ้าและมารดามาตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้มาจนถึงปัจจุบัน ก็กำลังป่วย ต้องหาหมอทุกอาทิตย์ (บิดาข้าพเจ้าเป็นลูกตาหอยกับยายตุ๊)
7. ต่อมาในปี 2538 ตาหอย มาเอาเงินจากแม่อีก 70,000 บาท แล้วบอกว่าจะยกที่ให้อีก แต่แม่ข้าพเจ้าไม่เชื่อ บอกว่าให้ไปเรียกลูกตาหอยมารับรู้เพราะตาหอยมีลูกหลายคนและเอาเงินแม่ไปเยอะมาก เลยโดนด่า อย่างเสียหาย หาว่าไม่เชื่อใจ ลำเลิกบุญคุณ แต่แม่หนูก็ยังคนเพราะพ่อป่วยและลูกก็ยังเล็กอยู่
8. ต่อมาตาหอยตายในปี 2542 เหตุการณ์ก็อยู่กันอย่างสงบ จนปี 2547 บ้านข้าพเจ้าพัง พี่ชายข้าพเจ้าได้ซ่อมแซมบ้าน ในบริเวณตัวบ้านเดิม คือหลังคาและผนัง เพื่อให้พ่อและแม่อยู่ได้ (ตัวข้าพเจ้าและพี่น้องทำงานอยู่กรุงเทพฯ)
9. หลังจากวันนั้นโดนยายตุ๋ ซึ่งเป็นเจ้าของโฉนดเรียกไปด่า และไม่ให้ซ่อมบ้าน และบอกว่าตาหอยก่อนตายได้สั่งว่าไม่ให้ยกที่ดินที่ให้กับพ่อและแม่ข้าพเจ้า (ซึ่งพ่อข้าพเจ้าบ้าอยู่ไม่สามารถทำมาหากินได้)
10. พี่ชายข้าพเจ้าต้องก้มลงกราบเท้ายายตุ๋เพื่อขออโหสิที่ทำอะไรไม่ได้บอกเจ้าของที่ เพราะเข้าใจว่าสิทตรงที่ดินนี้และบ้านที่อยู่เป็นของพ่อและแม่ แต่ยายตุ๋ยังไม่ยอม ไปเอาสัญญาเช่ามาให้พี่ชาย ข้าพเจ้า เขียนสัญญาเช่า 3 ปี ปีละ 5,000 บาท ซึ่งพี่ชายข้าพเจ้าก็ยอม และได้นำเงินไปจ่ายล่วงหน้า จำนวน 20,000 บาท แต่ยายตุ๋ไม่ยอมรับ กับด่ากับมาอีกว่าเอาเงินฟาดหัว พี่ชายข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงบอกยายตุ๋ไปว่า จะนำเงินไปซื้อดินมาถมที่ที่เป็นบ่อซึ่งตาหอยและยายตุ๋ขุดดินขายในอดีตให้เต็ม
โดยถมดินไปเป็นมูลค่า 40,000 บาท เพิ่มจากที่แม่ถมไปแล้วก่อนหน้านี้ 140,000 บาท
11. ในท้ายสัญญาเช่า พี่ชายข้าพเจ้าเขียนจุดประสงค์ของการเช่าไว้ว่า "เพื่อให้พ่อและแม่ได้อยู่ดูแลกันจนตาย เพราะเกิดที่นี้ และอยู่มานาน " และเขียนต่อท้ายสัญญาไว้ว่า ผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าจนกว่าผู้เช่าจะเลิกสัญญาเอง หรือจนกว่าบิดา (ซึงเป็นลูกยายตุ๋จะตาย) โดยในสัญญาระบุเนื้อที่เช่าไว้ 1 ไร่
12. หลังจากนั้นยายตุ๋ ไปประกาศว่าที่ทำอย่างนี้ต้องการดัดสันดานบ้านข้าพเจ้าเพราะยิ่ง ขณะเดียวกันพี่ชายข้าพเจ้าขอซื้อด้วยเงิน 500,000 บาท เพื่อให้ยายตุ๋เอาไว้ใช้ยามแก่ โดยยายตุ๋มาบอกขายพี่ชายข้าพเจ้าก่อน
ซึ่งพี่ชายข้าพเจ้าก็งง ว่า ขณะที่บิดาข้าพเจ้าซึ่งไม่ปกติ ต้องหาหมอโรคประสาททุกอาทิตย์ ไม่สามาถทำงานเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ จะต้องมาซื้อที่ดินให้พ่อและแม่อยู่อีกหรือ แต่พี่ชายข้าพเจ้าก็ยอม เพื่อให้พ่อและแม่สบายใจ แต่เมื่อจะซื้อจริงๆ ยายตุ๋กับไม่ยอมขายอีกบอกให้เก็บเงินไว้ก่อน บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นๆ แทน
13.ต่อมาในปี 2550 สัญญาหมด ข้าพเจ้าและพี่ชายอีกคนถูกเรียกไปต่อสัญญา แต่ไม่ได้มีการเซ็นต์ต่อสัญญาเพราะตกลงว่าจะขายให้แล้ว แต่ยายตุ๋บอกว่าได้ทำการโอนที่ดินไปให้ลูกอีกคนหนึ่ง โดยไม่ได้บอกกล่าวข้าพเจ้าและพ่อแม่ข้าพเจ้า เลย ข้าพเจ้าได้ทวงถามเรื่องที่จะขายให้ ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยง แต่กลับมาดามารดาข้าพเจ้าแทน และเหตุผลที่ยายตุ๋บอกว่ายกทีให้อาเพราะสร้างตึกให้ ซึ่งหนู ก็บอกว่ายอมจ่ายค่าสร้างตึกให้ แต่ขอที่ตรงนี้คืนได้ไหม
14. ต่อมาใน เดือน เมษายน 2553 พี่ชายข้าพเจ้าอีกคนได้บวช ได้ไปบอกยายตุ๋ เพื่อขออโหสิ ยายตุ๋ก็มา และได้มีการพูดคุยเรื่องที่ดินต่อ โดย ยายตุ๊ได้เรียกลูกทุกคนมารับรู้ว่าจะมีการแบ่งที่ (ขายที่) ให้กับแม่ข้าพเจ้า โดยยายตุ๊จะเอาราคา 1,000,000 บาท แต่แม่ข้าพเจ้าต่อรองมาที่ 700,000 บาทคิดเป็นที่ดิน (ที่ดินที่ปลูกบ้านและถมดินเองอยู่ปัจจุบัน 3 งานและบ่อน้ำอีก 2 ไร่)
โดยยินยอมให้ใส่เป็นชื่อบิดาข้าพเจ้า ซึ่งเป็นลูกของยายตู๋เองก็ได้ ซึ่งก็ตกลงกันได้แล้ว แต่ภายหลัง ลูกๆ คนอื่นๆ ของยายตุ๋ไม่ยอม และได้ด่าข้าพเจ้าอย่างรุนแรงว่า ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ซึ่งข้าพเจ้าก็อดทนยอมเพราะไม่อยากให้แม่เสียใจ
และพ่อหนูก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ และยายตุ๋ กับอาไม่ได้มาอยู่ที่นี้เลยตั้งแต่หนูย้ายมาปี 2530 แค่มีทะเบียนบ้านอยู่ที่นี้จะมาก็ปีละครั้งเท่านั้น และมีบ้านของตาหอยปลูกอยู่ติดๆ กัน ซึ่งบ้านตาหอยเป็น xx/1 บ้านหนูเป็นxx/2
15. หลังจากนั้นก็มีการเจรจาต่อรองโดยยายตุ๋และอาที่มีชื่อเพิ่มในโฉลดได้ยินยอมที่จะยกที่ 1 ไร่ ซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบันของพ่อและแม่ข้าพเจ้าให้ โดยให้กรมที่ดินมาแบ่งโฉนดเรียบร้อยแล้ว โดยยายตุ๋และอาซึ่งเป็นน้องพ่อคนหนึ่งเป็นคนทำเรื่อง และ
ได้มีการเจรจาในวันที่ทำการแบ่งที่ดิน ซึ่ง แม่ ข้าพเจ้า ยายตุ๋ อา และช่างรางวัดทุกคนอยู่พร้อมกัน ( 18 มิถุนายน 2553) และอายังบอกว่าจะโอนให้หลังจากนี้ประมาณ 1 เดือน หลังจากโฉนดใหม่ออกแล้ว
16. แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา (25 กันยายน 2553) อามาบอกว่าจะขอแบ่งที่ใหม่โดยเอาที่หน้าบ้านข้าพเจ้า ซึ่งติดกับคลองชลประทาน และข้าพเจ้าปลูกต้นไม้ไว้ และที่บ้านใช้น้ำจากคลองนี้ในการรดน้ำต้นไม้ (ปิดทางน้ำ) ซึ่งข้าพเจ้าไม่ยอม
โดยก่อนหน้านี้ได้ทำการแบ่งที่ดินกันอย่างชัดเจนจำนวน 1 ไร่ แล้ว โดยข้าพเจ้ายอมให้วัดที่ผ่าบ้านและศาลพระภูมิไปแล้ว แล้วโดยไม่โต้แย้งใด ๆ เพราะอยากให้เรื่องจบลงด้วยดี แต่วันนี้อาข้าพเจ้ามากลับคำอีก (เป็นพฤติกรรมเหมือนกับตาหอยและยายตุ๋ที่เคยทำกับแม่ ข้าพเจ้าไว้ทุกอย่าง อย่างเดียวคือยังไม่เอาทรัพย็สินของแม่ข้าพเจ้าเพิ่ม)
17. อาสั่งให้ข้าพเจ้าโทรไปหาเมื่อข้าพเจ้าโทรไปคุย ข้าพเจ้าก็บอกว่าไม่ยอม เพราะได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ก็โดยว่าร้ายกับมา แถมอาบอกว่า "ที่ของกู ชื่อกูมึงไม่มีสิทธิ กูจะทำอะไรก็ได้ ยังไง มึงก็ต้องยอม แล้ววางหูกระแทก" เหตุผลอีกอย่างคือยายตุ๋ไม่ชอบแม่หนูตั้งแต่สมัยแต่งงานกับพ่อหนูใหม่ เลยฝังใจเกลียดแม่หนูมาตลอด มาถึงพวกหนูด้วย แต่ตาหอยรักแม่หนูมาก เพราะขยันทำงาน (และยอมให้เงินใช้ทุกอย่าง ซึ่งลูกตาหอยไม่เคยมาดูแลเลยตนแกตาย-ตอนจะเสียพี่ชายหนูเป็นคนพาไปส่งโรงพยาบาล)
อาจารย์ค่ะเรื่องนี้เหมือนละครน้ำเน่า แต่เป็นเรื่องจริงๆ สามารถสืบพยานได้ทั้งหมู่บ้าน แม่หนูทำตัวเป็นพจมาน สว่างวงค์มาตลอดค่ะ เพราะคิดว่าทำดีแล้วจะได้ดี
คำถามของหนูก็คือ 1. หนูจะทำอย่างไร ดี เครียด มาก แม่ก็เสียใจ มาก เพราะเสียเงินไปเยอะ และยังโดนแบบนี้อีก ที่ดินแปลงนี้ พ่อแม่หนูอยู่มานาน และไม่ต้องการของใคร ฟรี ยอมซื้อในราคาประเมินด้วยค่ะ
2.เมื่อ 3 เดือนที่แล้วมีช่างมารางวัดใหม่ ปรากฏว่าที่ดินด้านหน้าติดถนนที่หนูอาศัยอยู่ไม่ได้เป็นของยายตุ๋ ประมาณ 1 งาน ซึ่งหนูและแม่ได้ปลูกไม้ยืนต้นคือมะพร้าวและขนุนไว้ตั้ง 20 ปี แล้วจะสามาถถือครองและใช้อาศัยอยู่ได้ไหมค่ะ
โดยที่ดินบริเวณนี้หนูและแม่ดูแลมาตลอดตั้งแต่ปี 2530 ตอนนี้พ่อ(บ้า)และแม่แก่แลป่วยไม่มีอาชีพ ต้องการพื้นที่ตรงนี้ไปขายของเลี้ยงชีพค่ะ
3.หนูจะสู้ต่ออย่างไรดีค่ะ ถ้าทุกอย่างหนูสู้อาหนูไม่ได้ |