การใช้เอกสารที่เป็นเท็จ
กราบเรียนท่านอาจารย์ ที่เคารพ
เรื่องมีดังนี้ครับ
เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2517 น้าเขยไปรับเอาเด็กผู้ชาย ซึ่งเป็นลูกของผู้อื่น(เกิดได้ 9 วัน) มาแจ้งเกิดต่อนายทะเบียนราษฎรของเทศบาลตำบลแห่งหนึ่งว่าเป็นลูกของตนเองที่เกิดกับน้าสาว และอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่เดียวกัน โดยนายทะเบียนราษฎรฯก็ได้ออกใบสูติบัตรให้ ทั้งๆที่น้าสาวไม่เคยตั้งครรภ์และไม่เคยคลอดลูกเลยในชีวิต ปัจจุบันนี้น้าสาวอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว และตั้งแต่แจ้งเกิด เด็กคนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่กับน้าเขย-น้าสาวเลย แต่อาศัยอยู่และเรียนอยู่กับพ่อ-แม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของเขาที่ต่างอำเภอ(จังหวัดเดียวกัน) โดยมีชื่อในทะเบียนบ้านของพ่อ-แม่ที่แท้จริงของเขาในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอนั้น จนเรียนหนังสือจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในหมู่บ้าน จึงย้ายมาเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาในอำเภอเดียวกันกับที่น้าเขย-น้าสาวตั้งบ้านเรือนอยู่ (แต่ไม่ปรากฎหลักฐานการแจ้งย้ายเข้ามาในทะเบียนบ้านที่น้าเขย-น้าสาวอาศัยอยู่และเป็นเจ้าของ) พอจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายสิบทหารบก ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2 ปี แล้วจึงมีหลักฐานปรากฎว่า ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่บ้านเลขที่เดียวกันกับน้าเขย-น้าสาว เมื่อเดือนเมษายน 2537 (ส่วนน้าเขยที่เป็นเจ้าบ้านกับน้าสาว กลับย้ายเข้ามาอยู่ทีหลัง คือ เดือนธันวาคม 2537 )
ต่อมาเดือนธันวาคม 2553 น้าเขยเสียชีวิต ส่วนน้าสาวนั้นมีอาการของคนความจำเสื่อม จำญาติหรือหลาน ๆไม่ได้ หรือถ้าได้ก็ต้องนั่งนึกนาน ๆ มีประวัติการเข้ารับการรักษาที่ รพ.ทางประสาทและรับยามากินตลอด เมื่อสามีหรือน้าเขยเสียชีวิตแล้วพี่น้องที่ยังเหลืออยู่ของน้าสาว พร้อมทั้งลูกและหลาน ก็อยากรับตัวของน้าสาวมาดูแล เพราะอย่างน้อยก็สายโลหิตเดียวกัน และมีความพร้อมในการดูแลมากกว่า จึงยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวฯ แต่ผู้ชายที่น้าเขยนำมาแจ้งเกิดว่าเป็นลูกนั้น เขาก็ร้องคัดค้าน และเอาน้าสาวไปกักเลี้ยงไว้ที่บ้านของพ่อ-แม่ของเขาที่ต่างอำเภอ ไม่ให้ญาติพี่น้องได้พบ จึงขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
1.การนำลูกคนอื่น(โดยพ่อ-แม่ที่แท้จริงจะยินยอม/ไม่ยินยอม หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม) มาแจ้งเกิดต่อนายทะเบียนราษฎรว่าเป็นลูก แล้วเจ้าหน้าที่หลงเชื่อ และออกใบสูติบัตรให้ ผู้แจ้ง(เสียชีวิตแล้ว) เจ้าหน้าที่/นายทะเบียน เด็กที่ถูกแจ้ง ทั้งสามฝ่ายนี้ใครมีความผิดบ้าง หรือไม่อย่างไร
2.การที่ผู้ชายคนนี้นำเอาหลักฐาน ใบสูติบัตร ที่แน่นอนที่สุดว่าได้มาอย่างไม่ชอบล้านเปอร์เซนต์ รวมทั้งเอกสารอื่นที่ระบุชื่อ บิดา-มารดา เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน ใบแจ้งเปลี่ยนชื่อไปอ้าง/ไปประกอบเป็นหลักฐานในการเข้าเรียนทั้งระดับประถมฯ มัธยมฯโรงเรียนายสิบทหารบก และยื่นคัดค้านต่อศาลฯ (ตอนเด็กๆอาจจะไม่รู้เรื่อง ว่าพ่อ-แม่ที่แท้จริงคือใคร แต่ตอนโตขึ้นมาแล้วต้องรู้แน่ แต่ยังนำเอกสารที่ไม่ถูกต้องไปอ้าง ) ถือว่ามีเจตนาใช้หลักฐานเท็จหรือไม่
3.ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าพ่อ-แม่ที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้เป็นใคร(ซึ่งปัจจุบันพ่อของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่) และใบสูติบัตรเป็นหลักฐานเท็จ ได้มาโดยไม่ถูกต้อง ชายคนนี้จะมีความผิดสถานใด จะส่งผลต่ออาชีพ หน้าที่การงานในปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร
4.เมื่อเป็นคดีความ ระหว่างที่ยังรอศาลสั่งฯ การนำเอาทรัพย์สินทั้งสังหา และอสังหาริมทรัพย์ ของทั้งน้าเขย-น้าสาวไปใช้ประโยชน์เพื่อตนเอง ถือว่าเป็นความผิดหรือไม่ หากนำไปใช้ หรือจำหน่าย จ่ายโอน จะสามารถเรียกคืนได้หรือไม่ และจะมีวิธียับยั้งได้อย่างไร
5.การระงับการถอนเงินฝากในบัญชีธนาคาร และบัตรถอนเงิน ATM รวมทั้งการทำนิติกรรมต่าง ๆ เช่น การขายที่ดิน ใครจะแจ้งหน่วยงานให้ระงับ และจะเริ่มมีผลให้ระงับตั้งแต่เมื่อไหร่ (เพราะยื่นคำร้องต่อศาลฯ หลังการเสียชีวิตหลายเดือน)และถ้าหากมีการกระทำในระหว่างที่ศาลฯยังไม่ตัดสิน จะสามารถเรียกคืนได้หรือไม่ |