เรียน ท่านอาจารย์มีชัย ที่เคารพ
ผมได้หารือกับอาจารย์เตือนใจฯ แล้วมีความเห็นร่วมกันว่าควรขอความกรุณาจากท่านอาจารย์มีชัย เพื่อความกระจ่างในประเด็นข้อกฎหมาย โดยสืบเนื่องมาจากกระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๒/๑ แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ เป็นเรื่องการขอแปลงสัญชาติแทนบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย ๓ จำพวก ได้แก่ (๑) ผู้อนุบาลขอแปลงสัญชาติแทนคนไร้ความสามารถที่เกิดในประเทศไทย (๒) ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์ของรัฐขอแปลงสัญชาติแทนผู้เยาว์ที่อยู่ในการดูแลของสถานสงเคราะห์ และ (๓) ผู้รับบุตรบุญธรรมขอแปลงสัญชาติแทนบุตรบุญธรรมที่เกิดในประเทศไทย โดยในร่างกฎกระทรวงได้กำหนดให้เรียกหลักฐานของบุคคลตาม (๑)-(๓) ได้แก่ สูติบัตรหรือหนังสือรับรองการเกิด สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (ถ้ามี) ใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วบุคคลทั้ง ๓ จำพวกล้วนเป็นกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และประสบปัญหาด้านสถานะบุคคล จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีหลักฐานดังกล่าวโดยเฉพาะใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว เท่าที่ทราบข้อมูลปรากฏว่าการกำหนดให้เรียกใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวนั้นเกิดจากความเข้าใจของเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยที่ว่าหลักฐานดังกล่าวแสดงถึงคุณสมบัติของผู้ขอแปลงสัญชาติตามมาตรา ๑๐ (๒) ที่กำหนดว่าผู้ขอแปลงสัญชาติจะต้องมีภูมิลำเนาในประเทศไทยติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๕ ปี ดังนั้น คนต่างด้าวที่จะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยจะต้องมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
คำถามที่ ๑ ขอเรียนถามว่าการที่ พ.ร.บ.สัญชาติฯ กำหนดให้คนต่างด้าวที่ขอแปลงสัญชาติเป็นไทยจะต้องมีภูมิลำเนาในประเทศไทยนั้น การพิจารณาเรื่องภูมิลำเนาของบุคคลจะพิจารณาจากพยานหลักฐานอื่น ตามกฎหมายอื่น เช่น ป.พ.พ. หรือ พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.๒๕๓๔ มาตรา ๒๙ (ทะเบียนบ้าน) ได้หรือไม่ หรือจะต้องพิจารณาจากใบสำคัญถิ่นที่อยู่หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเท่านั้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นร่างกฎกระทรวงฉบับนี้คงแทบไม่มีผลในทางปฏิบัติ
คำถามที่ ๒ ขอเรียนถามว่า มาตรา ๑๒/๑ (๒) การขอแปลงสัญชาติแทนผู้เยาว์ที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี โดยไม่ได้ระบุว่าผู้เยาว์นั้นต้องเกิดในประเทศไทย แต่ในร่างกฎกระทรวงกำหนดให้เรียกสูติบัตรหรือหนังสือรับรองการเกิด ซึ่งเด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กถูกทอดทิ้ง ไม่ปรากฏบุพการี จึงไม่สามารถหาหลักฐานการเกิดได้ จะเป็นการเรียกหลักฐานที่เกินความจำเป็นหรือไม่ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะสามารถโต้แย้งได้หรือไม่ อย่างไร
ปัจจุบัน ครม.ได้รับหลักการร่างกฎกระทรวงฉบับนี้แล้วเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๕ และอยู่ในขั้นตอนของกฤษฎีกา ไม่รู้ว่าจะเข้าคณะของท่านอาจารย์หรือเปล่าครับ
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง