เรืยน ท่านอาจารย์มีชัย
สืบเนื่องจากคำถามที่ 047478 ข้อ 2 เกี่ยวกับประเด็นในคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวที่ศาลท่านใช้ ผมขออนุญาตคัดลอกบางตอนมาลงไว้ ณ ที่นี้
"ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยต้องเสียภาษีป้ายหรือไม่ เห็นว่า มาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510 บัญญัติยกเว้นภาษีป้ายสำหรับป้ายของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน ดังนั้น การที่จะพิจารณาว่าป้ายใด จะถือเป็นป้ายโรงเรียนเอกชนหรือไม่ จึงต้องพิจารณาตามที่กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน คือพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2525 กำหนดไว้ ซึ่งมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า "ให้ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีป้ายแสดงชื่อโรงเรียนเป็นอักษรไทยขนาดใหญ่พอเห็นได้ในระยะอันสมควรติดไว้ที่โรงเรียนหรือบริเวณโรงเรียน ณ ที่ซึ่งเห็นได้ง่าย" ดังนั้น ป้ายของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนจึงหมายความถึงป้ายแสดงชื่อโรงเรียนที่เป็นอักษรไทยตามบทบังคับของมาตรา 46 เท่านั้น ป้ายพิพาทมิใช่ป้ายแสดงชื่อโรงเรียนที่เป็นอักษรไทยตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงไม่ใช่ป้ายของโรงเรียนเอกชนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของป้ายมีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้ายตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติภาษีป้าย"
ในเมื่อประเด็นที่ศาลท่านใช้เป็นเช่นว่านี้ ท่านอาจารย์จะมีความเห็นเป็นประการใด ผมควรจะลองฟ้องและสู้คดีขึ้นไปใหม่ หรือควรจะยอมเสียภาษีป้ายให้แก่เทศบาลฯ ไปดีกว่า (ไม่ต้องเดือดร้อนเสียเวลา สู้ไปก็แพ้คดีอยู่ดี)
จริงๆ แล้วผมอยากจะลองฟ้องและสู้คดีขึ้นไปใหม่เพื่อเป็นบรรทัดฐานใหม่ เพราะหากคำพิพากษาฎีกานี้ไม่ชอบจริง ก็เท่ากับว่าในปัจจุบันโรงเรียนเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศต้องเสียภาษีป้ายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ด้วยความเคารพอย่างสูง
นายชอบธรรม