ดิฉันเป็น ผอ.กองฯ ที่ ม. แห่งหนึ่ง ปฏิบัติงานที่หน่วยงานนี้มาตั้งแต่บรรจุ มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นระยะเวลา 21 ปี ภายหลังถูกตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดยรองอธิการบดีอ้างว่าเป็นผู้มีความประพฤติไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง บกพร่องต่อหน้าที่ เมื่อผู้บังคับบัญชามอบหมายงานแล้วไม่ปฏิบัติ ทำให้มหาวิทยาลัยเสียหายอย่างมาก (ทั้งหมดเป็นเรื่องไม่จริงดิฉันไม่เคยปฏิบัติตนเยี่ยงนั้น หลายคนในมหาวิทยาลัยก็รู้ว่าดิฉันเป็นคนตรง ไม่มีประวัติในทางไม่ดีตลอดการทำงานของดิฉัน) แต่กรรมการสอบข้อเท็จจริงสรุปว่า มีมูลตามข้อกล่าวอ้างมีความผิดจรรยาบรรณมหาวิทยาลัย ข้อ 9 และข้อ 12 โดยยังไม่ได้ผ่านการสอบข้อคณะกรรมการจรรยาบรรณ (ภายหลังทราบว่าคณะกรรมการจรรยาบรรณไม่รับเรื่องเนื่องจากไม่มีความผิดชี้ชัด) ไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัย เพราะคำกล่าวหานี้เป็นวินัยร้ายแรง ต่อมาอธิการบดีเรียกเข้าพบแจ้งว่าให้ดิฉันย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่คณะครุศาสตร์ ดิฉันถามอธิการบดีว่าดิฉันมีความผิดอะไรจึงทำกับดิฉันอย่างนี้ อธิการบดีต่อว่าไม่มีความผิดอะไรหรอกอย่าไปสนใจไอ้คำกล่าวอ้างนั้นเลย ย้ายไปอยู่คณะครุศาสตร์สักพักหนึ่งนะ ช่วย ๆ กันก่อน ไปพรุ่งนี้เช้าเลยนะเดี๋ยวพี่ไปส่ง ดิฉันกล่าวกับอธิการบดีว่า ขอให้เปลี่ยนตำแหน่งให้ดิฉันเลยได้หรือไม่เพื่อดิฉันจะได้ไปเติบโตในหน้าที่นั้นต่อไป (เพราะทราบดีว่าต่อไปคงต้องย้ายกลับมาที่เดิมอีกเมื่อเขาหมดวาระ) อธิการบดีตอบว่าคงไม่ได้หรอก ดิฉันถามว่าถ้าท่านเป็นอธิการบดีดิฉันต้องไปอยู่ครุศาสตร์ ถ้าคนอื่นมาเป็นอธิการดิฉันต้องกลับมาเป็น ผอ.กอง แล้วถ้าท่านกลับมาเป็นอธิการบดีอีกดิฉันต้องไปอยู่ครุศาสตร์อีกหรือไม่ ท่านไม่ตอบ ตำแหน่งหัวหน้า สนง.คณบดี เป็นตำแหน่งที่เทียบเท่า ผอ.กอง ก็จริง ตามโครงสร้างการบริหาร แต่ยังไม่ได้วิเคราะห์ค่างานเข้าสู่ตำแหน่ง ตำแหน่งนี้จึงยังไม่มีเงินประจำตำแหน่ง และตำแหน่งนี้ก็มีคนครองอยู่แต่เขาลาศึกษาต่อระดับ ป.เอก และดิฉันก็ยังคงดำรงตำแหน่ง ผอ.กอง แต่ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ หน.สนง.คณบดี ไม่ได้แต่งตั้งใครมาเป็น ผอ.กอง แทน ดังนั้นดิฉันจึงยังคงได้รับเงินประจำตำแหน่ง ผอ.กอง จนถึงขณะนี้ ดิฉันได้ขอให้มหาวิทยาลัยทำคำสั่งย้ายเพื่อไปรายตัวต่อคณบดี ต่อมาดิฉันได้ทำเรื่องอุทธรณ์ร้องทุกข์ต่อ ก.อ.ม. เกี่ยวกับการย้ายแบบมีความผิดติดตัว มหาวิทยาลัยโดยอธิการบดีไม่สามารถอ้างความผิดตามข้อกล่าวอ้างที่ชัดเจนได้ แต่เขาอ้างว่าเขามีอำนาจในการโยกย้ายคนเพื่อให้เหมาะสมกับงาน เมื่อเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ต้องย้ายเพื่องานประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัย ก.อ.ม.ได้เชิญดิฉันให้เข้าแถลงการณ์ด้วยวาจา ถามว่าดิฉันอึดอัดไม่ที่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ครุศาสตร์ถ้าจะทำงานที่นั่นไปก่อน เพราะมองดูแล้วคงจะทำงานกันไม่ได้ ดิฉันตอบว่าดิฉันเป็นคนทำงาน ทำงานที่ไหนก็ได้แต่การย้ายครั้งนี้เป็นการย้ายแบบมีความผิดติดตัว ซึ่งดิฉันยอมไม่ได้เพราะดิฉันเป็นข้าราชการมีศักดิ์ศรี และจะทำให้เสียประวัติ ภายหลัง ก.อ.ม. มีมติสรุปสั้น ๆ ว่าจากการพิจารณาจากพยานและหลักฐานแล้วไม่ปรากฏว่าดิฉันบกพร่องต่อหน้าที่ตามข้อกล่าวอ้าง ผู้ร้องไม่ติดใจเรื่องคำสั่งย้ายและไม่ประสงค์จะกลับไปปฏิบัติงานที่เดิม และจากการพิจารณาเรื่องเงินประจำตำแหน่ง หน.สนง. ยังไม่ได้มีการกำหนดเงินประจำตำแหน่ง อาจทำให้ผู้ร้องเสียสิทธิ์ได้ เลขาสภามหาวิทยาลัยนำมติแจ้งเพียงว่า ผู้ร้องไม่ติดใจเรื่องคำสั่งย้ายและไม่ประสงค์จะกลับไปปฏิบัติงานที่เดิม ส่วนเรื่องสิทธิ์ในการรับเงินประจำตำแหน่ง มหาวิทยาลัยอ้างว่าตามโครงสร้างเป็นตำแหน่งที่เทียบเท่า จึงไม่เสียสิทธิ์ เรื่องจึงจบเพียงเท่านั้น ดิฉันก็งง งง อยู่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ เพราะทุกสิ่งอย่างเป็นคนของเขาทั้งนั้น ต่อมาดิฉันได้นำเรื่องไปฟ้องศาลปกครอง และขณะนี้ศาลปกครองได้รับฟ้องแล้ว และตั้งทนายฟ้องศาลอาญา เรื่องดำเนินไปจบขั้นตอนแล้ว ขณะนี้รอฟังคำพิพากษาวันที่ 20 ธันวาคม 2555 (ดิฉันขอเรียนท่านว่าดิฉันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มาโดยตลอด อาจมีเรื่องที่ผู้บริหารไม่พอใจบ้างก็เรื่องที่ดิฉันแนะนำบางสิ่งบางอย่างที่เขาจะปฏิบัติมันไม่ถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ แต่อาจจะไม่ถูกใจเขา) ดิฉันจึงอยากจะเรียนถามท่านดังนี้ค่ะ
1. ในทางปกครองอธิการบดีกระทำการกลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชามีบทลงโทษหรือไม่
2. ดิฉันจะเรียกร้องความเป็นธรรมได้จากที่ใดบ้าง
3. ในศาลอาญาเขาและพยานไม่มีเรื่องข้อความผิดตามข้อกล่าวหาไปอ้างได้เลย อ้างแต่เพียงว่าเมื่อย้ายดิฉันมา 2 เดือน มหาวิทยาลัยได้รับคะแนนประเมินอยู่ในระดับสูงอันเกี่ยวเนื่องเป็นเพราะดิฉัน ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แต่เขากลับคุยว่าเขาชนะแน่ (อันนี้ดิฉันไม่ขอกล่าวเบื้องลึก) ดิฉันจึงรู้สึกหมดกำลังใจ และยังคงถามหาความยุติธรรม
เมื่อได้ยื่นฟ้องทั้งศาลปกครองและศาลอาญาแล้ว ก็คงต้องรอฟังผลของคดี ถ้าเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราก็ย่อมได้รับความยุติธรรมจนได้ แต่การดำเนินคดีในศาลนั้นต้องการความรู้ ความเอาใจใส่ติดตามอย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้ทนายความดำเนินการไปโดยไม่ติดตามด้วยตนเอง