เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่
กราบเรียนอาจารย์มีชัยค่ะ
มีเรื่องที่สงสัยค่ะอาจารย์ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าพอที่จะเป็นเหตุสุดวิสัยได้หรือไม่ หรือจะเป็นการกระทำอันประมาทตามมาตตรา 390
เรื่องของหนูอาจจะดูแล้วเป็นเรื่องไร้สาระ รกศาล แต่กราบขอความกรุณาอาจารย์ด้วยค่ะ ถือว่าให้คำแนะนำลูกนกลูกกาเถอะนะคะ ส่วนผลมันจะเป็นอย่างไรก็ขอให้แล้วแต่เวรแต่กรรมเถอะค่ะ หนูถือว่าหนูได้พยายามที่จะทำให้มันดีแล้ว
เหตุมีอยู่ว่า ในตลาดนัดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินส่วนบุคคล เปิดตลาดนัดในวันเสาร์ อาทิตย์ และพุธ ได้จัดช่องทางสำหรับให้รถพ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดเข้าออกจากตลาดมีความกว้างประมาณ 2.5 เมตร ซ๊่งเป็นเส้นทางที่อยู่ติดกับล็อคขายสินค้าของพ่อค้าแม่ค้า เรียกได้ว่าทางเดินของคนกับทางเดินรถเป็นเส้นทางเดียวกัน
เหตุเกิดขึ้นในวันเสาร์ เมื่อถึงเวลาเลิกขายประมาณเวลาสามทุ่ม รถได้วิ่งออกจากทางแคบๆ ของตลาดนัดในลักษณะที่ไหลตามกันไป เนื่องจากมีทั้งคนและแผงสินค้าที่ยังเก็บกันไม่เสร็จ แต่มีล็อกหนึ่งที่ขายเสื้อผ้าและได้เก็บสินค้าจนหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้เก็บแผงเหล็กที่สำหรับแขวนเสื้อผ้าและยื่นเข้ามาในทางเดินรถประมาณ 1 ศอก มีความสูงประมาณ 2.5 เมตร เมื่อรถของเราขับผ่านมาจึงได้พยายามเคลื่อนออกมาอย่างช้าๆ เนื่องจากมองเห็นสิ่งกีดขวางที่ยื่นเข้ามาในถนน อีกทั้งรถกระบะที่ใช้ยังติดตั้งคอกเหล็กสูงที่กระบะบรรทุกและตัวคอกกว้างประมาณ 1.8 เมตร ประกอบกับรถที่ใช้เป็นนิสสันนาวาราซึ่งตัวกระบะทั้งกว้างและใหญ่จึงขับออกมาจากตลาดด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเห็นสิ่งกีดขวางที่ยื่นออกมาในทางเดินรถทางด้านซ้าย พร้อมทั้งคนที่เดินอยู่ที่ถนนทางด้านขวาของตัวรถ จึงได้เคลื่อนรถไปอย่างช้าๆ และพยายามชิดขวาไว้ เเต่ก็ยังเกิดเหตุอยู่ดี โดยคอกรถได้ไปเกี่ยวติดกับแผงเหล็กที่ยื่นมาในทางเดินรถ คนที่ยืนอยู่ใกล้กับรถที่สุดจึงบอกให้หยุดรถ และบอกให้ถอย โดยผู้ที่ยืนอยู่ติดกับรถได้ให้สัญญาณถอย เเละเมื่อโครงเหล็กหลุด จึงโบกให้เราออกรถไป แต่คนขับก็ยังเปิดประตูรถลงไปดูว่าโครงเหล็กแผงร้านค้าหลุดหรือยัง ก็เห็นว่าหลุดแล้ว คนที่ยืนอยู่ติดกับรถก็พูดว่า หลุดแล้วพี่ไปได้เลย ประกอบกับมีรถตามมาอีกหลายคัน จึงได้ขึ้นรถและขับออกมาจากตลาดนัดอย่างช้าๆ เนื่องจากทางแคบ
ในวันต่อมาคือวันอาทิตย์ เราได้ไปขายของที่ตลาดนัดเดิมและได้พบกับคนที่โบกรถให้เราถอยอีกครั้ง รู้ภายหลังว่าเป็นพ่อค้าในตลาดนัดเดียวกัน บอกกับเราว่าเมื่อวานที่คอกรถเราไปเกี่ยวกับแผงเหล็กแขวนเสื้อผ้ามีคนได้รับบาดเจ็บคือเจ้าของร้านและได้แนะนำให้เราไปคุยกับผู้ได้รับบาดเจ็บโดยเขาจะมาเฉพาะวันเสาร์วันเดียว เราจึงถามว่าเขาได้รับบาดเจ็บมากหรือเปล่าเพราะตอนที่เราลงจากรถมาดูว่าแผงเสื้อผ้าหลุดจากคอกหรือยังก็ไม่เห็นใครได้รับบาดเจ็บเลย คนที่โบกรถก็บอกว่าเขาก็ไม่เห็นว่ามีคนบาดเจ็บในระหว่างที่รถเราเกี่ยวแผงและถอยหลังให้เหล็กหลุดเลย จึงโบกให้ไป แต่เมื่อรถเราไปแล้วจึงเดินมาเห็นว่ามีคนบาดเจ็บ สามีของผู้บาดเจ็บจึงฝากบอกคนโบกรถที่เป็นพ่อค้าในตลาดมาบอกเราว่าภรรยาของเขาบาดเจ็บเพราะรถเราไปเกี่ยวแผงเสื้อผ้าเขา ภรรยาของเขาจึงต้องเข้าไปดึงเหล็กแผงเสื้อผ้าให้หลุดจากคอกรถ ทำให้เหล็กแผงเสื้อผ้าไปดีดโดนดั้งจมูกหัก
เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ก็ถึงวันตลาดนัดวันเสาร์อีกครั้ง เมื่อเราได้ขับรถเข้ามาในตลาดนัดทางเดิม ก็ได้พบผู้บาดเจ็บและหยุดรถเพื่อคุยกับเขาและขอโทษเขาเพราะเราไม่เห็นจริงๆว่ามีคนบาดเจ็บและนัดแนะว่าเมื่อถึงเวลาเลิกขายจะมาคุยด้วย เนื่องจากเราเห็นว่าเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายของอยู่ในตลาดเดียวกันอีกทั้งเขายังเจ็บตัวจึงได้สอบถามเพื่อรับผิดชอบ ทางฝั่งผู้บาดเจ็บก็บอกว่าเขาต้องผ่าตัดจมูกใช้เงินประมาณหมื่นห้าพันบาทให้เราช่วยออกค่ารักษาสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี ทางเราเห็นว่าจมูกเขาเป็นรอยช้ำสีม่วง จึงได้บอกว่าจะช่วยเหลือแต่ขอเราติดต่อบริษัทประกันก่อนได้ไหม เพราะรถเรามีประกัน หลังจากนั้นวันจันทร์จึงได้นัดเจอกันที่โรงพยาบาลพร้อมทั้งตัวแทนประกันด้วย เมื่อพบกันเราจึงสอบถามอาการเขาและถามว่าหมอว่างัยบ้าง เขาก็ตอบว่ายังไม่ถึงคิวเขา ทางประกันจึงได้แนะนำให้ผู้บาดเจ็บเอาใบเสร็จในการรักษาพยาบาลมาให้บริษัทเพื่อเบิกจ่าย ทางฝั่งผู้บาดเจ็บได้เรียกร้องว่าเขาบาดเจ็บทำงานไม่ได้ต้องการค่าชดเชยในส่วนที่หยุดงาน ทางฝั่งประกันก็แจ้งว่าให้ขอใบรับรองแพทย์มาทางบริษัทก็จะจ่ายให้ตามใบรับรองแพทย์เลย ทางฝั่งผู็บาดเจ็บจึงพูดกับประกันว่าขอเขารวบรวมเอกสารต่างๆ แล้วจะยื่นกับบริษัทประกันทีเดียวเลย เราก็รู้สึกโล่งว่าสามารถเจรจาตกลงกันได้ ไม่มีปัญหาอะไร ออกรถมาห้าปีไม่เคยเคลมเลยก็เพิ่งจะใช้ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
เมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณสองอาทิตย์ เราจึงสอบถามผู้บาดเจ็บถึงอาการพร้อมทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาและการเบิกเงินค่ารักษาจากบริษัทประกันภัย ทางฝั่งผู้บาดเจ็บบอกว่ากระดูกจมูกเค๊าหักจะต้องผ่าตัดเพื่อจัดเรียงกระดูกใหม่และก็ยังไม่รู้ว่าจมูกเค๊าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมั๊ย ส่วนค่ารักษาเค๊าก็ไม่บอกเรา แต่จากที่เรามองที่จมูกของเขามันเป็นเพียงขีดขวางสีน้ำตาลอ่อนที่จมูกขีดเดียวเท่านั้น แต่ก็บอกผู้บาดเจ็บเพียงว่าน้องก็เก็บเอกสารไปให้บริษัทเขาให้ครบแล้วกันเพราะทางบริษัทเขาจะได้ดำเนินการให้
หลักจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ทางฝั่งผู้บาดเจ็บได้โทรศัพท์ติดต่อกับเราว่าเขาจะไปแจ้งความตำรวจเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว เนื่องจากเขากลัวว่าทางบริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบเขาจึงต้องทำให้รัดกุมไว้ก่อน เราจึงติดต่อไปทางบริษัทประกันว่ามันติดปัญหาอะไรจึงไม่สามารถจบเรื่องนี้ได้สักที ปรากฏว่าบริษัทแจ้งว่า ทางฝั่งผู้บาดเจ็บไปแจ้งความเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 85,000 บาท ซึ่งทางบริษัทไม่สามารถจ่ายให้ได้เนื่องจากใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลมีเพียงพันกว่าบาทเอง แล้วเขาจะขอค่าฟื้นฟูจิตใจจากทางบริษัทด้วยซึ่งเขาไม่สามารถทำเรื่องเบิกกับสำนักงานได้
จากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปตามกฎหมายทางอัยการก็ยื่นฟ้องว่าเราทำผิดตามมาตรา 390 และเมื่อขึ้นศาลทางผู้พิพากษาก็ให้คดีเข้าสู่สมานฉันท์ เพื่อให้เราไปตกลงพูดคุยกับผู้บาดเจ็บเพราะท่านเห็นว่าน่าจะคุยกันได้ แต่จากที่อัยการผู้ยื่นฟ้องให้กับฝั่งผู้เสียหายได้แจ้งกับศาลว่า ทางฝั่งผู้บาดเจ็บเขาไม่ติดใจเรื่องค่ารักษาพยาบาลแล้ว แต่เขาขอเป็นค่าเสียเวลาที่เขาบาดเจ็บทำงานไม่ได้ 20 วัน เขามีรายได้วันละ 5,000 บาท รวมเป็นเงิน หนึ่งแสนบาท
กราบเรียนอาจารย์มีชัยค่ะ หนูบอกตรงๆ หนูมองไม่เห็นทางว่าจะคุยกับผู้เสียหายได้อย่างไร หนูพูดไม่ออกกับจำนวนเงินที่เขาเรียก ตัวหนูเองก็ยังต้องดิ้นรนทำมาหากินเลี้ยงลูกเล็กอีกสามคน พยายามที่จะหาข้อมูลทางกฎหมายมาต่อสู้คดี ก็จนใจว่าภาษากฎหมายมันยากเกินกว่าที่หนูจะเข้าใจ ก็จับใจความได้เพียงว่า ถ้าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยการกระทำที่เกิดขึ้นจะไม่ถือว่าผิดตามมาตรา 390 ดังนั้นหนูจึงใคร่ขอความกรุณาจากอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำหนูด้วยค่ะ และในชั้นศาลหนูควรให้การอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์กับตัวหนู
กราบขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ |