ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    049432 เป็นคดีชุลมุนต่อสู้หรือเปล่าค่ะทับทิม24 กรกฎาคม 2556

    คำถาม
    เป็นคดีชุลมุนต่อสู้หรือเปล่าค่ะ

    กราบเรียนท่านอาจารย์มีชัยที่เคารพ หนูรบกวนขอคำแนะนำจากอาจารย์ดังนี้ค่ะ

    เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2556  เวลาประมาณ 20.00 น.   สถานที่เกิดเหตุ เป็นตลาดขายส่งมะม่วงติดกับถนนสายสุพรรณฯชัยนาท ซึ่งเป็นลานบริเวณกว้างๆ มีโต๊ะสนุกเกอร์ และมีห้องเช่าห้องพักคนงานเป็นแถวๆเพื่อให้พ่อค้าที่มารับซื้อมะม่วงและคนงานเช่าพัก

    นายปัญญาเป็นคนพิการขาขาดและใส่ขาเทียม อายุ 35 ปี ได้ไปเล่นสนุกเกอร์แล้วแพ้พนัน สุดท้ายไม่มีเงินจ่ายพวกที่เล่นด้วยกัน นายปัญญาพร้อมเจ้าหนี้พนันอีกสองคน ได้เข้ามาหานางพิมพ์ที่บ้านเช่าเพื่อจะขอยืมเงินจากนางพิมพ์ 700 บาท (นางพิมพ์มีอาชีพรับจ้างทั่วไปและเช่าห้องพักอยู่ในตลาดนั้น กับนายธนูสามี และ นายนินลูกชาย) นางพิมพ์ไม่มีเงินจึงได้ปฎิเสธนายปัญญาไป นายปัญญาก็เดินกลับออกไปพร้อมชายสองคนนั้น(ซึ่งผู้ชายอีกสองคนนั้นนางพิมพ์ไม่เคยรู้จักด้วย)  แล้วไม่นานนายปัญญาก็เดินกลับเข้ามาอีกคราวนี้มาคนเดียว มาวิงวอนขอยืมเงินนางพิมพ์อีก และบอกว่า”ไอ้พวกนั้นมันจะเอากุญแจรถมอเตอร์ผมไปแล้วถ้าไม่มีเงินให้มัน” นางพิมพ์ไม่มีเงินจึงปฏิเสธไปอีกและเห็นว่านายปัญญาเมามากด้วยจึงบอกให้นายปัญญากลับบ้านได้แล้วเดี๋ยวแม่เขาจะเป็นห่วง ซึ่งบ้านนายปัญญาจะอยู่อีกตำบลหนึ่ง (นางพิมพ์รู้จักมักคุ้นกับแม่ของนายปัญญาดี) นายปัญญาเห็นว่าไม่ได้เงินแน่จึงเดินกลับออกไป หลังจากที่นายปัญญากลับออกไปได้ประมาณ 5 นาที นางพิมพ์เกิดเป็นห่วงว่านายปัญญาว่าจะกลับบ้านได้หรือเปล่าเพราะเมื่อกี้นายปัญญาบอกว่าโดนยึดกุญแจรถไปแล้ว จึงได้บอกให้นายนิน(ลูกชาย)อายุ 22 ปี ที่นั่งดูทีวีกับนายธนูอยู่ ให้ออกไปดูว่านายปัญญากลับบ้านได้หรือไม่ถ้ากลับไม่ได้ก็ให้ไปส่งด้วย นายนินจึงลุกเดินออกไปเพื่อจะไปหานายปัญญาที่โต๊ะสนุ๊กซึ่งโต๊ะสนุกอยู่ห่างจากห้องเช่านางพิมพ์แค่ประมาณ 200 เมตรแต่พอเดินออกไปหน้าห้องเช่านายนินก็ได้เห็นผู้ชายสองคนกำลังรุมกระทืบนายปัญญา ซึ่งห่างจากหน้าห้องเช่าประมาณแค่ 50 เมตร นายนินจึงร้องเอะอะแล้ววิ่งมาที่นายปัญญา นายธนูได้ยินเสียงนายนินร้องเอะอะ จึงรีบวิ่งตามออกมา พอนายนินไปถึงตัวนายปัญญา นายปัญญาก็ชี้มือไปทางผู้ชายสองคนที่วิ่งหนีไปว่า “มันเอากุญแจรถกูไปแล้วๆ”นายนินจึงวิ่งตามไปทันผู้ชายคนหนึ่งนายนินจึงถามว่า “มึงเอากุญแจเขาไปเปล่า เอาไปก็เอาคืนมา”ผู้ชายคนนั้นก็สวนกลับมาว่า”มึงยุ่งอะไรด้วย”ด้วยความโมโหที่เห็นว่านายปัญญาขาพิการแล้วโดนรุมกระทืบนายนินจึง พูดว่า” พวกมึงเก่งแต่กะคนพิการ มันพิการมึงก็ยังทำมัน เอากุญแจมันคืนมา” ผู้ชายคนนั้นก็พูดสวนมาอีกว่า “ถ้ามึงแน่นักมึงรอกูเดี๋ยว” แล้ววิ่งหายไปทางด้านหลังโต๊ะสนุ๊กฯ นายนินก็ไม่ได้ตามไปแต่เดินหากุญแจรถเพราะคิดว่าจะตกอยู่แถวๆนั้น และเดินกลับมาที่นายปัญญาเพื่อจะพาไปส่งที่บ้านแต่ยังไม่ทันจะได้เดินเข้าบ้านเช่า ก็มีกลุ่มคนวัยรุ่นประมาณสิบกว่าคนกรูกันเข้ามาที่บริเวณหน้าห้องเช่าของ นางพิมพ์ แทบทุกคนถือ มีดบ้าง ไม้บ้าง ขวดบ้าง เข้ามาถึงก็ไม่พูดอะไรเลย มีเพียง นายหม่อง( พ่อค้ารับซื้อมะม่วงรายใหญ่ซึ่งขึ้นมาจากทางภาคใต้ ที่มารับซื้อมะม่วงประจำที่ตลาดนี้ เพื่อนำไปส่งออกมาเลเซียและนำไปขายที่จันทบุรีด้วยและนายหม่องจะมีลูกน้องเพื่อยกขนส่งมะม่วงมาด้วยจำนวนหลายคนและจะเช่าห้องพักที่ตลาดนี้ทิ้งไว้เพื่อเวลาขึ้นมาก็ให้คนงานตัวเองมาพัก) เมื่อมาถึงนายหม่องได้ตะโกนบอกนาย ธนูว่า “หลวงไม่เกี่ยว อยู่เฉยๆ” พร้อมทั้งเข้าจับแขนและล๊อคนายธนูไว้ แล้วสั่งให้ลูกน้องที่เหลือล้อม นายนินและนายปัญญาไว้ ผู้ชายสี่คนไม่ทราบชื่อวิ่งเข้าไปหานายนินแล้วจับนายนินล๊อคนายนินไว้ นายปัญญาเห็นว่านายนินโดนล๊อกก็ร้องห้ามแล้วจะเดินเข้าไปห้ามก็ถูกจับจับล๊อกและโดนแทงจากข้างหลัง(บาดแผลทะลุปอด) ส่วนนายนินพยายามดิ้นรนสะบัดหนีแต่ดิ้นไม่หลุดหลังจากนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาแล้วใช้มีดพกแทงที่ท้องนายนินแต่นายนินดิ้นเลยพลาดแทงไม่ถูก เขาเลยแทงซ้ำคราวนี้โดนที่ท้องจนกระเพาะทะลุ และมีผู้ชายอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใช้ขวดตีที่หัวของนายนินซ้ำอีก แล้วก็มีผู้ชายอีกคนในกลุ่มนั้นวิ่งขึ้นเหยียบบนลังมะม่วงเพื่อจะใช้ขวดตีหัวนายนินอีก แต่เกิดลื่นล้มแล้วล้มไปทับกับขวดที่แตกเพราะไอ้คนที่แล้วใช้ตีหัวนายนิน ระหว่างเกิดเหตุชาวบ้านที่อยู่ห้องเช่าติดๆกันเห็นเหตุการณ์โดยตลอดและพยายามร้องห้ามไม่ให้มีเรื่องแต่ไม่มีใครกล้าที่จะวิ่งเข้าไปห้ามใกล้ๆกลัวว่าจะโดนลูกหลงเพราะทุกคนมีอาวุธกันแทบทุกคน แต่กลุ่มของนายหม่องก็ไม่ฟังเสียงห้ามของชาวบ้านเข้ารุมทำร้ายนายนิน ชาวบ้านเห็นท่าไม่ดีก็วิ่งเข้าบ้านปิดประตูกันเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย นางพิมพ์อยู่ในบ้านไม่ได้ยินเสียงว่าลูกถูกทำร้ายเพราะทีวีเสียงดังแล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องอะไรกันรุนแรงจนกระทั้งมีคนข้างบ้านวิ่งไปบอกว่า” ลูกชายแกโดนฆ่าตายแล้วมันมารุมตีอยู่ข้างนอกโน่นเร็วๆ” นางพิมพ์จึงลุกวิ่งออกไปเห็นลูกชายกำลังทรุดลงไปกับพื้นก็ร้องโวยวาย กลุ่มของนายหม่องจึงหยุดรุมทำร้ายนแล้วต่างก็วิ่งหนีไปทางด้านหลังโต๊ะสนุ๊กซึ่งเป็นห้องพักของลูกน้องนายหม่องและมีนางแอ้ว (เมียนายหม่อง)เปิดประตูบอกให้ลูกน้องวิ่งเข้าไป

    หลังจากนั้นชาวบ้านและนางพิมพ์ก็โทรแจ้งความไปที่สถานีตำรวจและโทรหารถเพื่อจะนำลูกชายไปส่งโรงพยาบาล เมื่อตำรวจมาถึงนางพิมพ์ได้แจ้งกับเจ้าพนักงานว่า “ลูกฉันถูกรุมทำร้าย คนร้ายหลบหนีเข้าไปอยู่ในห้องพักตรงนั้น จับมันเลยฉันเอาเรื่อง” (แล้วก็ชี้ให้ตำรวจไปจับ ซึ่งเป็นห้องพักคนงานของนายหม่อง) หลังจากนั้นรถญาติที่นางพิมพ์โทรตามให้มารับลูกชายก็มาถึงพอดีนางพิมพ์จึงขึ้นรถพาลูกไปส่งโรงพยาบาล  พอประมาณ22.30 น. ตำรวจก็ตามไปสอบปากคำนายนิน  พยานในที่เกิดเหตุที่เห็นเหตุการณ์ก็ให้การณ์ว่า นายนินโดนรุมทำร้ายพวกนั้นมากันเยอะมีอาวุธกันมาแทบทุกคน ตำรวจเขาก็จดๆ แล้วเรื่องก็เงียบไปหลายวัน

    นางพิมพ์เห็นว่าเรื่องเงียบหายไป จึงไปขอพบพนักงานสอบสวนเพื่อขอทราบว่าตำรวจจับคนที่ทำร้ายได้หรือไม่และจะขอยืนยันว่าจะแจ้งความเอาเรื่องเพราะลูกชายเจ็บหนักถูกรุมทำร้ายถึงกับกระเพาะทะลุ และหัวแตก แต่กลับโดนพนักงานฯตะคอกใส่ว่า ”จะมาแจ้งอะไรกลับไปๆๆ ต่อมาอีก 2 วัน นายนิน ได้ออกจากโรงพยาบาลก็ไปขอแจ้งความอีกว่าตนโดนรุมทำร้าย แต่กลับโดน พนักงานสอบสวนตะคอกใส่อีกว่า “มึงจะมาแจ้งอะไร ไป๊กลับไปพูดไม่รู้เรื่องทางโน่นเค้าแจ้งหมดแล้ว แล้วเดี๋ยวมึงมารับทราบข้อกล่าวหาด้วยว่าร่วมกันชุลมุนแล้วไปเสียค่าปรับ” นายนินอ้างว่าไม่ได้ร่วมชุลมุนแต่ตนโดนทำร้าย โดนแทงจนกระเพาะทะลุ พนักงานสอบสวนก็อ้างกับ นายนินว่า” มึงเจ็บคนเดียวเหรอฝ่ายโน่นเขาก็เจ็บมึงฟันเขา” (แต่ด้วยความสัตย์จริงค่ะอาจารย์นายนินไม่มีอาวุธติดมือไปเลยเพราะไม่ได้คิดว่าจะออกไปมีเรื่อง แต่ที่ฝ่ายโน่นมีบาดแผลก็เพราะเขาเหยียบลังมะม่วงแล้วล้มลงไปทับขวดที่แตก) นายนินจึงต้องกลับบ้านเพราะตำรวจไล่ให้กลับแล้วบอกว่ารอไปก่อนแล้วเขาจะเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาภายหลัง

    หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนก็เรียกตัวนายปัญญา ไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วบอกว่าให้รับสารภาพ แล้วก็ส่งฟ้องไปแล้ว นายปัญญาไม่เข้าใจก็ยอมรับตามที่พนักงานบอกเพราะกลัวว่าจะต้องเสียเงินไปจ้างทนายมาสู้คดีเนื่องจากนายปัญญาก็ฐานะยากจนอาชีพรับจ้าง นายปัญญาถูกฟ้องว่าร่วมกันชุลมุน ศาลให้เสียค่าปรับไปแล้ว

    พอฟ้องสำนวนของนายปัญญาเสร็จ พนักงานสอบสวนก็เรียกตัวนายนิน เข้าไปแล้วก็แจ้งข้อกล่าวหา  “โดยอ้างว่าผู้ต้องหาฝ่ายโน่น(คือลูกน้องนายหม่อง 4 คนเป็นเยาวชนทั้งหมด)ที่ถูกจับได้และที่ได้ส่งฟ้องไปบางส่วนแล้วนั้นบอกว่านายนินอยู่ร่วมชุลมุนด้วยในขณะเกิดเหตุและ บอกให้นายนินรับสารภาพซะ” แต่ นายนิน เห็นว่าจริงๆแล้วตัวเองไม่ได้ไปชุลมุนอะไรแต่ตัวเองถูกทำร้ายฝ่ายเดียว นายนินจึงไม่ยอมรับข้อกล่าวหา  และขอให้พนักงานสอบสวนรับแจ้งความของตน  แต่พนักงานสอบสวนโยกโย้และได้อ้างว่า ได้ไปปรึกษาพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนแล้วและอัยการสั่งว่ายังไม่ให้รับแจ้ง ให้ลงบันทึกไว้ให้ก่อน เพราะนายนินยังไม่ใช่ผู้เสียที่แท้จริงต้องฟ้องคดีนี้ก่อน และนอกจากนี้พนักงานฯยังพูดจาปกป้องทางฝ่ายนายหม่องตลอด เช่น “ถ้ามึงแจ้งเขา เขาก็จะแจ้งกลับ”  ”จะแจ้งเขามึงมีหลักฐานอะไร รู้จักคนแทงไหมชื่ออะไร” นายนินก็บอก “ว่าจำนายหม่องได้แล้วก็จำหน้าคนแทงได้แต่ไม่รู้จักชื่อว่าชื่ออะไร ขอให้นายหม่องนำตัวลูกน้องมาให้ชี้ได้ไหม”พนักงานสอบสวนก็อ้างว่า “แล้วใครเขาจะเอาลูกน้องตัวเองมาให้ชี้ล่ะ” เมื่อพนักงานฯไม่รับแจ้งฯ นายนินจึงขอให้นำตัวนายหม่อง เข้ามาในคดีและขอแจ้งความเพิ่มเติมเพราะในเหตุการณ์นายหม่องเป็นคนสั่งให้ลูกน้องทำร้ายตน แต่พนักงานฯก็นิ่งเฉยแล้วบอกว่า ”นายนิน ต้องให้การในคดีชุลมุนนี้ก่อน  แล้วหลังจากนั้นจะตั้งข้อหาใหม่ให้ ก็ถ้าไม่ยอมรับว่าชุลมุน ก็ให้การว่าไม่รับไปแล้วก็ไปสืบกันเองในศาลแล้วกัน ” วันนั้นนายนินก็เลยให้การไม่รับว่าชุลมุนไปในสำนวนสอบสวนนั้น และนั่งรอหวังว่าพนักงานฯจะรับแจ้งคดีในส่วนของนายหม่อง ตามที่พนักงานฯได้แจ้งไว้ตอนแรก แต่พนักงานฯก็นิ่งเฉยอ้างว่าจะปรึกษาอัยการก่อนจนทุกวันนี้ นายนินก็ยังไม่ได้รับความยุติธรรมเลยค่ะอาจารย์ เห็นพนักงานสอบสวนบอกว่าตอนนี้รอผลการพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมืออยู่ให้รอไปก่อน เขาจะส่งสำนวนให้อัยการปลายๆเดือนกรกฏาคมนี่นะค่ะ   แล้วทางฝ่ายของ นายนินก็ฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำไม่มีเงินมีทองจะไปจ้างทนายความมาต่อสู้คดีหรอกค่ะ ตัวของนายนินเองก็ต้องทำงานรับจ้างทั่วไปเกี่ยวกับงานเกษตรทุกอย่าง และทุกวันนี้พอทำงานสะเทือนหนักๆก็ยังต้องไปหาหมอเพราะผลจากแผลที่โดนแทงอยู่เลยค่ะ

    หนูเป็นหลานของนางพิมพ์นะค่ะขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

    1.กรณีอย่างนี้เป็นคดีชุลมุนหรือเปล่าค่ะ แล้วหนูควรจะทำอย่างไรต่อไปดีค่ะ

    2.หากว่าพนักงานสอบสวนเขาส่งสำนวนให้อัยการแล้วอัยการเขาไม่รู้ข้อเท็จจริงตรงนี้ ว่า พนักงานสอบสวนเขาสอบสวนไปโดยฟังความฝ่ายเดียว(คือฟังแต่ทางฝ่ายลูกน้องนายหม่อง) แล้วมาแจ้งข้อกล่าวหากับนายนิน โดยที่ยังไม่ได้ฟังความทางฝ่าย นายนิน เลยด้วยซ้ำ หนูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย แล้วตอนแจ้งความในวันเกิดเหตุ ทางฝ่ายหนูก็เป็นฝ่ายโทรแจ้งความแล้วก็บอกให้ไปจับผู้ต้องหาอีกด้วยแต่ทำไมกลับมาโดนตั้งข้อหาซะเอง อย่างนี้ถือว่าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนถูกต้องตามหลักของรัฐธรรมนูญไทยไหมค่ะ

    3.ตอนนี้พนักงานสอบสวนเขาบอกว่าให้รอให้อัยการฟ้องคดีชุลมุนนี้ไปก่อนแล้วพอศาลตัดสินแล้วค่อยมาแจ้งอีกคดีหนึ่ง แล้วถ้าอัยการเขาฟ้องแล้วหนูไม่มีเงินไปจ้างทนายแล้วถ้าหนูแพ้คดีนี้  หนูก็จะกลายเป็นจำเลยที่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยชอบในอีกคดีหนึ่งใช่ไหมค่ะ หนูควรทำอย่างไรดีค่ะอาจารย์

     รบกวนท่านอาจารย์ช่วยชี้ทางออกให้กับประชาชนตาดำๆด้วยนะค่ะ

                                   ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

                                               ( ทับทิม)

    คำตอบ

    1. ถ้าเรื่องเป็นอย่างที่คุณเล่ามา ก็ไม่ใช่เป็นการชุลมุนทะเลาะวิวาทกัน

    2. เมื่อตำรวจเป็นเสียเองเช่นนี้ บางทีราษฎรก็ตกอยู่ในฐานะลำบาก  ถ้ามีเงินยังพอไปจ้างทนายความให้เขาฟ้องให้ ทางหนึ่งที่พอจะทำได้ก็คือไปร้องทุกข์ต่ออัยการ เล่าาเรื่องให้เขาฟัง บางทีโชคดีอาจไปเจออัยการที่มีจิตใจดีงามไม่วางเฉย ก็อาจจะช่วยได้มาก

    3. ลองกลับไปหาตำรวจ บอกเขาว่า เอาเถอะถ้าตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ให้ทำเป็นหนังสือบอกมาว่าให้กลับมาแจ้งความในภายหลัง (ซึ่งเขาคงไม่ยอมทำให้) เวลาไปก็หาคนที่มีหลักฐานพอเป็นพยานได้ ไปด้วย เพื่อจะได้เป็นพยานให้ในภายหลัง  อีกทางหนึ่งก็คือทำหนังสือร้องเรียนไปยังจเรตำรวจ หรือกองปราบปราม


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    24 กรกฎาคม 2556