เป็นคดีชุลมุนต่อสู้หรือเปล่าค่ะ
กราบเรียนท่านอาจารย์มีชัยที่เคารพ หนูรบกวนขอคำแนะนำจากอาจารย์ดังนี้ค่ะ
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2556 เวลาประมาณ 20.00 น. สถานที่เกิดเหตุ เป็นตลาดขายส่งมะม่วงติดกับถนนสายสุพรรณฯชัยนาท ซึ่งเป็นลานบริเวณกว้างๆ มีโต๊ะสนุกเกอร์ และมีห้องเช่าห้องพักคนงานเป็นแถวๆเพื่อให้พ่อค้าที่มารับซื้อมะม่วงและคนงานเช่าพัก
นายปัญญาเป็นคนพิการขาขาดและใส่ขาเทียม อายุ 35 ปี ได้ไปเล่นสนุกเกอร์แล้วแพ้พนัน สุดท้ายไม่มีเงินจ่ายพวกที่เล่นด้วยกัน นายปัญญาพร้อมเจ้าหนี้พนันอีกสองคน ได้เข้ามาหานางพิมพ์ที่บ้านเช่าเพื่อจะขอยืมเงินจากนางพิมพ์ 700 บาท (นางพิมพ์มีอาชีพรับจ้างทั่วไปและเช่าห้องพักอยู่ในตลาดนั้น กับนายธนูสามี และ นายนินลูกชาย) นางพิมพ์ไม่มีเงินจึงได้ปฎิเสธนายปัญญาไป นายปัญญาก็เดินกลับออกไปพร้อมชายสองคนนั้น(ซึ่งผู้ชายอีกสองคนนั้นนางพิมพ์ไม่เคยรู้จักด้วย) แล้วไม่นานนายปัญญาก็เดินกลับเข้ามาอีกคราวนี้มาคนเดียว มาวิงวอนขอยืมเงินนางพิมพ์อีก และบอกว่าไอ้พวกนั้นมันจะเอากุญแจรถมอเตอร์ผมไปแล้วถ้าไม่มีเงินให้มัน นางพิมพ์ไม่มีเงินจึงปฏิเสธไปอีกและเห็นว่านายปัญญาเมามากด้วยจึงบอกให้นายปัญญากลับบ้านได้แล้วเดี๋ยวแม่เขาจะเป็นห่วง ซึ่งบ้านนายปัญญาจะอยู่อีกตำบลหนึ่ง (นางพิมพ์รู้จักมักคุ้นกับแม่ของนายปัญญาดี) นายปัญญาเห็นว่าไม่ได้เงินแน่จึงเดินกลับออกไป หลังจากที่นายปัญญากลับออกไปได้ประมาณ 5 นาที นางพิมพ์เกิดเป็นห่วงว่านายปัญญาว่าจะกลับบ้านได้หรือเปล่าเพราะเมื่อกี้นายปัญญาบอกว่าโดนยึดกุญแจรถไปแล้ว จึงได้บอกให้นายนิน(ลูกชาย)อายุ 22 ปี ที่นั่งดูทีวีกับนายธนูอยู่ ให้ออกไปดูว่านายปัญญากลับบ้านได้หรือไม่ถ้ากลับไม่ได้ก็ให้ไปส่งด้วย นายนินจึงลุกเดินออกไปเพื่อจะไปหานายปัญญาที่โต๊ะสนุ๊กซึ่งโต๊ะสนุกอยู่ห่างจากห้องเช่านางพิมพ์แค่ประมาณ 200 เมตรแต่พอเดินออกไปหน้าห้องเช่านายนินก็ได้เห็นผู้ชายสองคนกำลังรุมกระทืบนายปัญญา ซึ่งห่างจากหน้าห้องเช่าประมาณแค่ 50 เมตร นายนินจึงร้องเอะอะแล้ววิ่งมาที่นายปัญญา นายธนูได้ยินเสียงนายนินร้องเอะอะ จึงรีบวิ่งตามออกมา พอนายนินไปถึงตัวนายปัญญา นายปัญญาก็ชี้มือไปทางผู้ชายสองคนที่วิ่งหนีไปว่า มันเอากุญแจรถกูไปแล้วๆนายนินจึงวิ่งตามไปทันผู้ชายคนหนึ่งนายนินจึงถามว่า มึงเอากุญแจเขาไปเปล่า เอาไปก็เอาคืนมาผู้ชายคนนั้นก็สวนกลับมาว่ามึงยุ่งอะไรด้วยด้วยความโมโหที่เห็นว่านายปัญญาขาพิการแล้วโดนรุมกระทืบนายนินจึง พูดว่า พวกมึงเก่งแต่กะคนพิการ มันพิการมึงก็ยังทำมัน เอากุญแจมันคืนมา ผู้ชายคนนั้นก็พูดสวนมาอีกว่า ถ้ามึงแน่นักมึงรอกูเดี๋ยว แล้ววิ่งหายไปทางด้านหลังโต๊ะสนุ๊กฯ นายนินก็ไม่ได้ตามไปแต่เดินหากุญแจรถเพราะคิดว่าจะตกอยู่แถวๆนั้น และเดินกลับมาที่นายปัญญาเพื่อจะพาไปส่งที่บ้านแต่ยังไม่ทันจะได้เดินเข้าบ้านเช่า ก็มีกลุ่มคนวัยรุ่นประมาณสิบกว่าคนกรูกันเข้ามาที่บริเวณหน้าห้องเช่าของ นางพิมพ์ แทบทุกคนถือ มีดบ้าง ไม้บ้าง ขวดบ้าง เข้ามาถึงก็ไม่พูดอะไรเลย มีเพียง นายหม่อง( พ่อค้ารับซื้อมะม่วงรายใหญ่ซึ่งขึ้นมาจากทางภาคใต้ ที่มารับซื้อมะม่วงประจำที่ตลาดนี้ เพื่อนำไปส่งออกมาเลเซียและนำไปขายที่จันทบุรีด้วยและนายหม่องจะมีลูกน้องเพื่อยกขนส่งมะม่วงมาด้วยจำนวนหลายคนและจะเช่าห้องพักที่ตลาดนี้ทิ้งไว้เพื่อเวลาขึ้นมาก็ให้คนงานตัวเองมาพัก) เมื่อมาถึงนายหม่องได้ตะโกนบอกนาย ธนูว่า หลวงไม่เกี่ยว อยู่เฉยๆ พร้อมทั้งเข้าจับแขนและล๊อคนายธนูไว้ แล้วสั่งให้ลูกน้องที่เหลือล้อม นายนินและนายปัญญาไว้ ผู้ชายสี่คนไม่ทราบชื่อวิ่งเข้าไปหานายนินแล้วจับนายนินล๊อคนายนินไว้ นายปัญญาเห็นว่านายนินโดนล๊อกก็ร้องห้ามแล้วจะเดินเข้าไปห้ามก็ถูกจับจับล๊อกและโดนแทงจากข้างหลัง(บาดแผลทะลุปอด) ส่วนนายนินพยายามดิ้นรนสะบัดหนีแต่ดิ้นไม่หลุดหลังจากนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาแล้วใช้มีดพกแทงที่ท้องนายนินแต่นายนินดิ้นเลยพลาดแทงไม่ถูก เขาเลยแทงซ้ำคราวนี้โดนที่ท้องจนกระเพาะทะลุ และมีผู้ชายอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใช้ขวดตีที่หัวของนายนินซ้ำอีก แล้วก็มีผู้ชายอีกคนในกลุ่มนั้นวิ่งขึ้นเหยียบบนลังมะม่วงเพื่อจะใช้ขวดตีหัวนายนินอีก แต่เกิดลื่นล้มแล้วล้มไปทับกับขวดที่แตกเพราะไอ้คนที่แล้วใช้ตีหัวนายนิน ระหว่างเกิดเหตุชาวบ้านที่อยู่ห้องเช่าติดๆกันเห็นเหตุการณ์โดยตลอดและพยายามร้องห้ามไม่ให้มีเรื่องแต่ไม่มีใครกล้าที่จะวิ่งเข้าไปห้ามใกล้ๆกลัวว่าจะโดนลูกหลงเพราะทุกคนมีอาวุธกันแทบทุกคน แต่กลุ่มของนายหม่องก็ไม่ฟังเสียงห้ามของชาวบ้านเข้ารุมทำร้ายนายนิน ชาวบ้านเห็นท่าไม่ดีก็วิ่งเข้าบ้านปิดประตูกันเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย นางพิมพ์อยู่ในบ้านไม่ได้ยินเสียงว่าลูกถูกทำร้ายเพราะทีวีเสียงดังแล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องอะไรกันรุนแรงจนกระทั้งมีคนข้างบ้านวิ่งไปบอกว่า ลูกชายแกโดนฆ่าตายแล้วมันมารุมตีอยู่ข้างนอกโน่นเร็วๆ นางพิมพ์จึงลุกวิ่งออกไปเห็นลูกชายกำลังทรุดลงไปกับพื้นก็ร้องโวยวาย กลุ่มของนายหม่องจึงหยุดรุมทำร้ายนแล้วต่างก็วิ่งหนีไปทางด้านหลังโต๊ะสนุ๊กซึ่งเป็นห้องพักของลูกน้องนายหม่องและมีนางแอ้ว (เมียนายหม่อง)เปิดประตูบอกให้ลูกน้องวิ่งเข้าไป
หลังจากนั้นชาวบ้านและนางพิมพ์ก็โทรแจ้งความไปที่สถานีตำรวจและโทรหารถเพื่อจะนำลูกชายไปส่งโรงพยาบาล เมื่อตำรวจมาถึงนางพิมพ์ได้แจ้งกับเจ้าพนักงานว่า ลูกฉันถูกรุมทำร้าย คนร้ายหลบหนีเข้าไปอยู่ในห้องพักตรงนั้น จับมันเลยฉันเอาเรื่อง (แล้วก็ชี้ให้ตำรวจไปจับ ซึ่งเป็นห้องพักคนงานของนายหม่อง) หลังจากนั้นรถญาติที่นางพิมพ์โทรตามให้มารับลูกชายก็มาถึงพอดีนางพิมพ์จึงขึ้นรถพาลูกไปส่งโรงพยาบาล พอประมาณ22.30 น. ตำรวจก็ตามไปสอบปากคำนายนิน พยานในที่เกิดเหตุที่เห็นเหตุการณ์ก็ให้การณ์ว่า นายนินโดนรุมทำร้ายพวกนั้นมากันเยอะมีอาวุธกันมาแทบทุกคน ตำรวจเขาก็จดๆ แล้วเรื่องก็เงียบไปหลายวัน
นางพิมพ์เห็นว่าเรื่องเงียบหายไป จึงไปขอพบพนักงานสอบสวนเพื่อขอทราบว่าตำรวจจับคนที่ทำร้ายได้หรือไม่และจะขอยืนยันว่าจะแจ้งความเอาเรื่องเพราะลูกชายเจ็บหนักถูกรุมทำร้ายถึงกับกระเพาะทะลุ และหัวแตก แต่กลับโดนพนักงานฯตะคอกใส่ว่า จะมาแจ้งอะไรกลับไปๆๆ ต่อมาอีก 2 วัน นายนิน ได้ออกจากโรงพยาบาลก็ไปขอแจ้งความอีกว่าตนโดนรุมทำร้าย แต่กลับโดน พนักงานสอบสวนตะคอกใส่อีกว่า มึงจะมาแจ้งอะไร ไป๊กลับไปพูดไม่รู้เรื่องทางโน่นเค้าแจ้งหมดแล้ว แล้วเดี๋ยวมึงมารับทราบข้อกล่าวหาด้วยว่าร่วมกันชุลมุนแล้วไปเสียค่าปรับ นายนินอ้างว่าไม่ได้ร่วมชุลมุนแต่ตนโดนทำร้าย โดนแทงจนกระเพาะทะลุ พนักงานสอบสวนก็อ้างกับ นายนินว่า มึงเจ็บคนเดียวเหรอฝ่ายโน่นเขาก็เจ็บมึงฟันเขา (แต่ด้วยความสัตย์จริงค่ะอาจารย์นายนินไม่มีอาวุธติดมือไปเลยเพราะไม่ได้คิดว่าจะออกไปมีเรื่อง แต่ที่ฝ่ายโน่นมีบาดแผลก็เพราะเขาเหยียบลังมะม่วงแล้วล้มลงไปทับขวดที่แตก) นายนินจึงต้องกลับบ้านเพราะตำรวจไล่ให้กลับแล้วบอกว่ารอไปก่อนแล้วเขาจะเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาภายหลัง
หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนก็เรียกตัวนายปัญญา ไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วบอกว่าให้รับสารภาพ แล้วก็ส่งฟ้องไปแล้ว นายปัญญาไม่เข้าใจก็ยอมรับตามที่พนักงานบอกเพราะกลัวว่าจะต้องเสียเงินไปจ้างทนายมาสู้คดีเนื่องจากนายปัญญาก็ฐานะยากจนอาชีพรับจ้าง นายปัญญาถูกฟ้องว่าร่วมกันชุลมุน ศาลให้เสียค่าปรับไปแล้ว
พอฟ้องสำนวนของนายปัญญาเสร็จ พนักงานสอบสวนก็เรียกตัวนายนิน เข้าไปแล้วก็แจ้งข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าผู้ต้องหาฝ่ายโน่น(คือลูกน้องนายหม่อง 4 คนเป็นเยาวชนทั้งหมด)ที่ถูกจับได้และที่ได้ส่งฟ้องไปบางส่วนแล้วนั้นบอกว่านายนินอยู่ร่วมชุลมุนด้วยในขณะเกิดเหตุและ บอกให้นายนินรับสารภาพซะ แต่ นายนิน เห็นว่าจริงๆแล้วตัวเองไม่ได้ไปชุลมุนอะไรแต่ตัวเองถูกทำร้ายฝ่ายเดียว นายนินจึงไม่ยอมรับข้อกล่าวหา และขอให้พนักงานสอบสวนรับแจ้งความของตน แต่พนักงานสอบสวนโยกโย้และได้อ้างว่า ได้ไปปรึกษาพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนแล้วและอัยการสั่งว่ายังไม่ให้รับแจ้ง ให้ลงบันทึกไว้ให้ก่อน เพราะนายนินยังไม่ใช่ผู้เสียที่แท้จริงต้องฟ้องคดีนี้ก่อน และนอกจากนี้พนักงานฯยังพูดจาปกป้องทางฝ่ายนายหม่องตลอด เช่น ถ้ามึงแจ้งเขา เขาก็จะแจ้งกลับ จะแจ้งเขามึงมีหลักฐานอะไร รู้จักคนแทงไหมชื่ออะไร นายนินก็บอก ว่าจำนายหม่องได้แล้วก็จำหน้าคนแทงได้แต่ไม่รู้จักชื่อว่าชื่ออะไร ขอให้นายหม่องนำตัวลูกน้องมาให้ชี้ได้ไหมพนักงานสอบสวนก็อ้างว่า แล้วใครเขาจะเอาลูกน้องตัวเองมาให้ชี้ล่ะ เมื่อพนักงานฯไม่รับแจ้งฯ นายนินจึงขอให้นำตัวนายหม่อง เข้ามาในคดีและขอแจ้งความเพิ่มเติมเพราะในเหตุการณ์นายหม่องเป็นคนสั่งให้ลูกน้องทำร้ายตน แต่พนักงานฯก็นิ่งเฉยแล้วบอกว่า นายนิน ต้องให้การในคดีชุลมุนนี้ก่อน แล้วหลังจากนั้นจะตั้งข้อหาใหม่ให้ ก็ถ้าไม่ยอมรับว่าชุลมุน ก็ให้การว่าไม่รับไปแล้วก็ไปสืบกันเองในศาลแล้วกัน วันนั้นนายนินก็เลยให้การไม่รับว่าชุลมุนไปในสำนวนสอบสวนนั้น และนั่งรอหวังว่าพนักงานฯจะรับแจ้งคดีในส่วนของนายหม่อง ตามที่พนักงานฯได้แจ้งไว้ตอนแรก แต่พนักงานฯก็นิ่งเฉยอ้างว่าจะปรึกษาอัยการก่อนจนทุกวันนี้ นายนินก็ยังไม่ได้รับความยุติธรรมเลยค่ะอาจารย์ เห็นพนักงานสอบสวนบอกว่าตอนนี้รอผลการพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมืออยู่ให้รอไปก่อน เขาจะส่งสำนวนให้อัยการปลายๆเดือนกรกฏาคมนี่นะค่ะ แล้วทางฝ่ายของ นายนินก็ฐานะยากจนหาเช้ากินค่ำไม่มีเงินมีทองจะไปจ้างทนายความมาต่อสู้คดีหรอกค่ะ ตัวของนายนินเองก็ต้องทำงานรับจ้างทั่วไปเกี่ยวกับงานเกษตรทุกอย่าง และทุกวันนี้พอทำงานสะเทือนหนักๆก็ยังต้องไปหาหมอเพราะผลจากแผลที่โดนแทงอยู่เลยค่ะ
หนูเป็นหลานของนางพิมพ์นะค่ะขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
1.กรณีอย่างนี้เป็นคดีชุลมุนหรือเปล่าค่ะ แล้วหนูควรจะทำอย่างไรต่อไปดีค่ะ
2.หากว่าพนักงานสอบสวนเขาส่งสำนวนให้อัยการแล้วอัยการเขาไม่รู้ข้อเท็จจริงตรงนี้ ว่า พนักงานสอบสวนเขาสอบสวนไปโดยฟังความฝ่ายเดียว(คือฟังแต่ทางฝ่ายลูกน้องนายหม่อง) แล้วมาแจ้งข้อกล่าวหากับนายนิน โดยที่ยังไม่ได้ฟังความทางฝ่าย นายนิน เลยด้วยซ้ำ หนูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย แล้วตอนแจ้งความในวันเกิดเหตุ ทางฝ่ายหนูก็เป็นฝ่ายโทรแจ้งความแล้วก็บอกให้ไปจับผู้ต้องหาอีกด้วยแต่ทำไมกลับมาโดนตั้งข้อหาซะเอง อย่างนี้ถือว่าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนถูกต้องตามหลักของรัฐธรรมนูญไทยไหมค่ะ
3.ตอนนี้พนักงานสอบสวนเขาบอกว่าให้รอให้อัยการฟ้องคดีชุลมุนนี้ไปก่อนแล้วพอศาลตัดสินแล้วค่อยมาแจ้งอีกคดีหนึ่ง แล้วถ้าอัยการเขาฟ้องแล้วหนูไม่มีเงินไปจ้างทนายแล้วถ้าหนูแพ้คดีนี้ หนูก็จะกลายเป็นจำเลยที่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยชอบในอีกคดีหนึ่งใช่ไหมค่ะ หนูควรทำอย่างไรดีค่ะอาจารย์
รบกวนท่านอาจารย์ช่วยชี้ทางออกให้กับประชาชนตาดำๆด้วยนะค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
( ทับทิม) |