ทางออกประเทศไทย
ปัญหาการเมืองในปัจจุบัน
อำนาจบริหารอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ
ต้องมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลตามหลักการแยกอำนาจในระบอบประชาธิปไตย
แต่ปัจจุบันอำนาจบริหารและนิติบัญญัติอยู่ภายใต้บุคคลกลุ่มเดียวกันคือพรรคการเมือง
ทำให้ฝ่ายนิติบีญญัติสามารถออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายบริหารได้แทนที่จะช่วยกันดูแลผลประโยชน์ของประชาชน
ดังจะได้เห็นตัวอย่างการออกกฎหมานนิรโทษกรรมให้กับพวกตนเองหรือออกกฎหมายเอี้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของกลุ่มตนเองเป็นต้น
ปัญหาความขัดแย้งวุ่นวายในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ ถ้าวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งจะเห็นว่าทั้งหมดมีสาเหตุมาจากนักการเมืองที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน
ครอบครัวและพรรคพวกของตนเองเป็นหลัก หาได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติไม่
อีกทั้งยังอ้างความชอบธรรมได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนที่เลือกเข้ามาตามระบอบประชาธิปไตยโดยไม่มีสำนึกว่าประชาชนเลือกเข้ามาเพื่อให้ดูแลรักษาผลประโยชน์ของประชาชนหรือบริหารบ้านเมืองให้รุ่งเรืองด้วยความเสียสละโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและไม่ยึดติดกับตำแหน่ง
ความขัดแย้งนับวันจะทวีคูณจนอาจเกิดเป็นสงครามกลางเมือง
ดังเห็นได้ชัดจากความพยายามของนักการเมืองที่จะแบ่งแยกประชาชนเป็นฝักเป็นฝ่ายเช่นฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเป็นต้นเพื่อประโยน์ส่วนตนและพวกพ้อง
ยังไม่มีทีท่าหรือทางออกให้กับประเทศไทยว่าจะแก้ไขอย่างไรให้ประชาชนชาวไทยเลิกแบ่งพรรคแบ่งพวกและมารักกันเหมือนเดิม
ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยการเปลียนแปลงรัฐบาลหรือยุบสภาเลือกตั้งใหม่
ก็จะไม่มีอะไรดีขี้นเพราะเราจะได้นักการเมืองหน้าเดิมและหนากลับมาเหมือนเดิมและก็จะโกงกินบ้านเมืองจนร่ำรวย
สามารถนำเงินเหล่านั้นมาซื้อเสียงเพื่อจะได้กลับมาเป็นสสและรัฐบาลต่อไปจนสามารถเป็นมรดกตกทอดไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
ถ้าโดนประชาชนหรือสื่อมวลชนจับได้ว่าโกงจนกระทั่งถูกศาลตัดสินจำคุก
ก็ยังสามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตัวเองได้
ยิ่งทำให้นักการเมืองที่มีจิตใจคดโกงไม่เกรงกลัวต่อการทำผิดเพราะถือว่ามีอำนาจอยู่ในมือจะทำอะไรก็ได้และเชื่อว่ากฎหมายจะเอื้อมไม่ถึง
นอกจากนี้ยังอาศัยอำนาจรัฐ อิทธิพลเถื่อน คุกคาม อุ้มฆ่าฝ่ายตรงข้าม
เจ้าหน้าที่ของรัฐมีทีมสังหารไว้ใช้งานจัดการกับปรปักษ์นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรวมทั้งพวกเรียกร้องและนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจที่มีนักการเมืองที่มีอดีตเป็นอันตพาล มาเฟีย
หรือผู้มีอิทธพลได้รับเลือกเป็นสสมากขี้นเรื่อยๆ
สุดท้ายเราก็จะไม่ได้คนดีมีความสามารถมาบริหารประเทศ
จะมีแต่คณะรัฐมนตรีที่เป็นผู้มีอิทธิพล
มาเฟียมาบริหารประเทศเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าเป็นแบบนี้
ประเทศไทยเราจะเจรืญรุ่งเรืองต่อไปในอนาคตดั่งเช่นอารยะประเทศได้อย่างไร
จากปัญหาที่กล่าวข้างต้นสามารถตั้งเป็นโจทย์ที่ต้องแก้ไข 3-4 ข้อดังนี้
ข้อที่1 ทำอย่างไรจะแยกอำนาจบริหาร
นิติบัญญัติและอำนาจตุลาการให้อิสระต่อกันเพื่อการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิผล
ป้องกันการโกงกินของนักการเมืองได้
ข้อที่ 2 ทำอย่างจะได้คนดีมีความสามารถเข้ามาปริหารประเทศ โดยไม่ต้องซื้อเสียง
และป้องกันไม่ให้ผู้มีอิทธิพล มาเฟีย หรืออันตพาลเข้ามา
ข้อที่ 3 ทำอย่างไรจะทำให้คนไทยเลิกขัดแย้งกลับมารักกันเหมือนเดิมไม่แบ่งสีแบ่งข้าง
ข้อที่ 4 - ทำอย่างถึงจะขจัดคอรัปชั่นให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทยที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด
โจทย์ข้อที่ 1 เราจะเห็นว่าอำนาจตุลาการปัจจุบันค่อนข้างจะอิสระยกเว้นอำนาจปริหารและนิติบัญญัติ
ที่ยังอยู่ภายใต้กลุ่มบุคคลเดียวกัน คือพรรคการเมืองเสียงข้างมาก
จะทำอย่างไรที่จะแยกอำนาจบริหารและนิติบัญญัติอิสระจากกัน
ความเห็นของผมก็คือ ให้แยกอำนาจทั้ง 2 อิสระจากกันด้วยการ มอบอำนาจบริหารให้สสเพียงอย่างเดียว
ส่วนอำนาจนิติบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของสว
อำนาจบริหารให้สสเพียงอย่างเดียว
วิธีการที่น่าจะดีที่สุดที่จะได้สสมาทำหน้าที่บริหารประเทศ ก็คือ
การให้ประชาชนเลือกเฉพาะสสปาร์ตี้ลิสต์เพื่อเข้ามาเป็นฝ่ายบริหารหรือครม
สสปาร์ตี้ลิสต์จะมีเพียง50-100คนเท่านั้นให้เพียงพอกับตำแหน่งรัฐมนตรี เลือกตั้งพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งสามารถจะตอบโจทย์ข้อที่2ด้วย เนื่องจากพรรคการเมืองจะต้องเลือกคนดีคนเก่งมาเป็นสสปาร์ตี้ลิสต์เพื่อให้ประชาชนเลือกเข้ามาเป็นครมบริหารประเทศโดยพรรคการเมืองจะต้องระบุด้วยว่าจะให้ใครเป็นรมตกระทรวงใด
มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งประการใดนอกเหนือจากนโยบายของพรรค เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ
ส่วนสสเขตก็ให้ยกเลิกไปเลย จะได้ไม่มีสสในพื้นที่ที่เป็นผู้มีอิทธิพล
มาเฟียเข้ามาบริหารประเทศ การซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกสสเขตก็จะหมดไป
การซี้อสิทธขายเสียงให้กับสสปาร์ตี้ลิสต์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องใช้เงินมหาศาลในนามของพรรคเพื่อซื้อเสียงปชชทั้งประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกจับได้ง่ายและถูกยุบพรรค
อีกทั้งยังไม่มีตัวแทนสสเขตที่จะเอาเงินไปให้ปชชด้วย
ถึงแม้จะใช้หัวคะแนนก็ไม่รับประกันว่าจะได้ผลหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับคะแนนรวมของพรรค
กกตก็สามารถตรวจสอบการซื้อเสียงได้ง่ายขี้นเพราะถ้ามีก็จะเป็นเงินมาจากแหล่งเดียวคือของพรรคการเมือง
ที่สำคัญความขัดแย้งของสีเสื้อก็จะหมดไปโดยปริยายเพราะสสปาร์ตี้ลิสต์ที่ถูกเลือกเข้ามาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมีความรู้ความสามารถบริหารประเทศโดยไม่ต้องอาศัยมวลชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นฐานเสียงถือเป็นสสของคนทั้งประเทศเลือกเข้ามา
ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งภาค เป็นการตอบโจทย์ข้อที่ 3 ไปด้วย แต่ถ้าพรรคการเมืองใดดูถูกปชชโดยเลือกสสที่มีประวัติด่างพร้อย
หรือมีความรู้ความสามรถไม่ตรงกับกระทรวงที่รับมอบหมาย ผมเชื่อว่าพรรคการเมืองนั้นจะได้คะแนนเสียงน้อยลงอย่างแน่นอน
สำหรับการจัดตั้งรัฐบาล
จำนวนครมก็จะแบ่งตามสัดส่วนคะแนนสสปาร์ตี้ลิส์ของแต่ละพรรค
พรรคไหนได้คะแนนสสปาร์ตี้ลิสต์มากสุด หัวหน้าพรรคก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
และจะได้สิทธิเลือกกระทรวงก่อน
พรรคลำดับสองก็จะเลือกกระทรวงในลำดับต่อมาจนถึงพรรคลำดับสุดท้าย ถ้าหากคะแนนเสียงกระจายไปตามพรรคต่างๆเราจะได้รํฐบาลผสมมาจากหลายพรรคที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นรัฐบาลแห่งชาติที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
อำนาจนิติบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของสว
สวที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติและตรวจสอบรัฐบาลควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเพื่อให้ยึดโยงกับปชชในแต่ละพื้นที่
จะได้ทำหน้าที่รับฟังปัญหาของปชชและถ่ายทอดเสนอแนะทางแก้ปัญหาให้กับรัฐบาลไปด้วย สวจะต้องไม่สังกัดพรรคการเมืองไม่เป็นญาติพี่น้องของสสและต้องไม่เคยเป็นสสมาก่อน
เพื่อความเป็นอิสระในการตรวจสอบและตัดปัญหาสภาผัวเมีย
การเลือกตั้งสวก็ให้ใช้หลัการเดียวกันกับรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากในการหาเสียงหรือซื้อเสียง เมื่อเข้ามาในสภาก็ทำหน้าที่หลักในการควบคุมตรวจสอบรัฐบาล
เสนอร่างกฎหมายและกลั่นกรองกฎหมาย สวจะต้องทำงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักและไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด
การรับผลประโยชน์จากฝ่ายบริหารไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมมีความผิด
ถ้าจับได้จะมีโทษรุนแรงทั้งผู้ให้และผู้รับ
อายุของสสและสวควรจะอยู่ได้ไม่เกิน2สมัยติดกันและสูงสุดไม่เกิน3สมัยในกรณีที่ไม่ต่อเนื่อง
เพื่อป้องกันการสร้างฐานอำนาจและพวกพ้องเพื่อการโกงกินในระยะยาว
ซึ่งจะทำให้ยากต่อการตรวจสอบและเอาผิดในอนาคต และเป็นการสร้างบริบทการเมืองใหม่ที่ยึดโยงอยู่กับระบบมากกว่าตัวบุคคล
ระบบเลือกตั้งใหม่รัฐบาลจะถูกตรวจสอบโดยสวแทนฝ่ายค้านเพราะในอดีตได้พิสูจน์แล้วว่าฝ่ายค้านไม่สามารถเอาผิดรัฐบาลได้เนื่องจากเป็นเสียงส่วนน้อยซึ่งมักจะแพ้มติในสภา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยสวจะไม่มีการลงมติแต่สามารถส่งต่อหลักฐานให้ปปชและศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบและเอาผิดรัฐบาลแทน
ข้อดีอีกอย่างหนี่งก็คือ
เราจะมีพรรคการเมืองเกิดใหม่เพิ่มขี้นมาเป็นตัวเลือกให้กับประชาชนมากขี้น
สสปาร์ตี้ลิสต์ที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศก็จะมีแต่มืออาชีพที่มีความสามารถและเสียสละเพื่อส่วนรวมจริงๆเพราะจะถูกตรวจสอบทั้งจากฝ่ายนิติบัญญัติ(สว)และตุลาการ
ภาคประชาชนยังสามารถเป็นผู้ร้องเรียนไปยังศาลให้ลงโทษผู้ที่เข้ามาคดโกงได้
คนดีๆมีความสามารถและความซื่อสัตย์ก็จะกล้าเข้ามารับใช้ประเทศชาติและประชาชน
บ้านเมืองก็จะเกิดความสงบสุขประชาชนรักใคร่ปองดองและประเทศชาติรุ่งเรืองสถาพรตราบนานเท่านาน
ดั่งพระราชดำรัสของในหลวงเราว่า
ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดี และคนไม่ดี
ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดี
ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
หรือคำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นาย ลีกวนยิวที่ว่า
ผมเชื่อในเรื่องการนำคนดีมาดำรงตำแหน่งแม้ระบบจะไม่ดีหรือห่วยสุดๆ
เมื่อได้คนดีๆมาดำรงตำแหน่งเขาก็สามารถจะทำให้ระบบที่ไม่ดีให้ดีขึ้นมาได้
จากพระราชดำรัสของในหลวงและคำพูดของลีกวนยิวที่ทำให้สิงคโปร์เจริญขี้นมาทัดเทียมกับอารยะประเทศน่าจะทำให้เรามั่นใจได้ว่าระบบใหม่นี้จะทำให้เราได้คนดีมีความสามารถมาบริหารบ้านเมืองไม่ใช่คนไม่ดีเหมือนปัจจุบันและเชื่อว่าคนเหล่านี้จะมาทำให้บ้านเมืองสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองตลอดจนช่วยแก้ไขปรับปรุงระบบให้ดีมีประสิทธิภาพมากขี้นเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงเราก็จะวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์
ปีแล้วปีเล่าเหมือนอดีตที่ผ่านมาหลายสิบปีและบ้านเมืองก็จะเสื่อมถอยจนถึงขั้นอาจเกิดกลียุคทำให้ชาติล่มสลายได้
แต่ถ้าหากได้ใช้ระบบนี้ไปอย่างน้อย4-8ปีอาจช่วยตัดวงจรอุบาทว์ให้สิ้นซากไปจากการเมืองไทยก็เป็นได้
โจทย์ข้อที่ 4 กฎหมายรัฐธรรมนูญของเราในการควบคุมตรวจสอบได้มีการปรับปรุงในระดับหนึ่งแต่ยังไม่เพียงพอ
จะสังเกตุเห็นว่านักการเมืองพันธ์ชั่วยังไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและการตรวจสอบขององค์กรอิสระตลอดจนการท้าทายอำนาจตุลาการ
ผ่านสนงตำรวจแห่งชาติและกรมอัยการหรือกลุ่มบุคคลของตัวเอง
ฉะนั้นจะต้องออกกฎหมายรัฐธรรมนูญ
เพื่อเพิ่มโทษนักการเมืองให้เข็ดหลาบจดจำจนไม่กล้าโกงกิน และไม่มีกำหนดหมดอายุความ
ตลอดจนเพิ่มองค์กรอิสระให้มีการตรวจสอบข้มงวดยิ่งขี้นเช่น อัยการสูงสุด และ
หน่วยงาน DSIจะต้องเป็นองค์กรอิสระ ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้เราควรจะนำกฎหมายปราบปรามคอรัปชั่นของประเทศอเมริกามาใช้ซึ่งได้ผลชะงัดนัก
กฎหมายที่ว่านี้ก็คือกฎหมาย FCPA ย่อมาจาก Foreign Corrupt Practice Act เป็นกฎหมายปราบปรามคอรัปชั่นที่เน้นไปที่ผู้ให้ก่อนแล้วค่อยสืบไปหาผู้รับ
ใครที่ให้ผลประโยชน์กับหน่วยราชการ ถ้าถูกจับได้จะมีความผิดต้องโทษอาญา
ถ้าเป็นเงินของบริษัทผู้บริหารจะต้องรับโทษทางอาญาและต้องติดคุก
ตลอดจนถูกปรับด้วยเงินจำนวนมหาศาลถึงขั้นทำให้บริษัทล้มละลายได้
ทำให้บริษัทอเมริกันไม่มีใครกล้าให้ผลประโยชน์กับหน่วยราชการไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
การตรวจสอบเส้นทางการเงินจากผู้ให้จะง่ายกว่าผู้รับเพราะผู้รับมักจะขอเป็นเงินสดและมีตัวแทนมารับไม่สามารถสาวไปถึงผู้รับเงินที่แท้จริง
สำหรับผู้ให้สามารถตรวจสอบเงินที่เบิกจากธนาคารและมักจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคนทั้งฝ่ายบัญชี
ฝ่ายบริหาร ผู้เบิกเงินและผู้ถือเงินเป็นต้น
การประกาศว่าจะนำกฏหมาย FCPA มาใช้จะได้รับการยอมรับจากสหรัฐอเมริกาและประเทศอียูที่กำลังแสดงความรังเกียจต่อการรัฐประหารของเรามากขึ้นและช่วยลดแรงกดดันหรือความไม่ใว้วางใจให้น้อยลงเมื่อเห็นว่าเรามีความจริงใจที่จะปฏิรูปการเมืองให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำขนานกันไปก็คือการสร้างความเข้มแข็งและบุคลากรที่เพียงพอให้กับปปชเพื่อตรวจสอบรัฐบาลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความยำเกรงของรัฐบาลจนไม่กล้าโกงกินแม้ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมาจากพรรคหรือคนเดิมๆก็ตาม
ปปชควรจะแบ่งเป็น2หน่วยงานหลักคือหน่วยงานแรกตรวจสอบรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียวและอีกหน่วยงานหนึ่งตรวจสอบข้าราชการทั่วไป
โดยประกาศให้ปชชทราบโดยทั่วกันเพื่อจะได้เป็นการกล่าวเตือนล่วงหน้าว่าผู้ที่จะอาสาเข้ามาเป็นครมบริหารประเทศจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นและต่อไปจะได้ไม่มีข้อครหาว่าปปชเลือกปฏิบัติหรือมุ่งเร่งรัดคดีของฝ่ายบริหารมากจนเกินไป
ทั้งๆที่ความจริงแล้วถ้าเป็นคนที่ตั้งใจเข้ามารับใช้ชาติโดยไม่คิดโกงกินก็ไม่ควรกลัวการตรวจสอบ
ถ้าทำได้แบบนี้พวกคนชั่วคิดโกงบ้านเมืองก็จะไม่กล้าเข้ามา
เปิดโอกาสให้คนดีมีจิตสำนึกที่รักชาติจริงๆและมีจิตใจที่ซื่อสัตย์สุจริตเข้ามารับใช้ชาติแทน
และระบบแบบนี้แหละถึงจะเรียกได้เต็มปากว่าเป็นระบบบริหารแบบCEOของฝรั่งที่มีนักบริหารมืออาชีพมากความสามารถที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดีได้เข้ามาดูแลบริหารบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
จนทำให้บริษัทเหล่านั้นสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่องแบบยั่งยืน
ภายใต้กรอบนโยบายที่เน้นเรื่องของความโปร่งใส และมีจริยธรรมองค์กร
ตลอดจนการตรวจสอบที่เข้มงวดจากAuditorที่มีมาตรฐานสากล
ด้วยความเคารพ
จากความเห็นของคนไทยคนหนี่งที่ทำงานเป็นCEO ให้กับบริษัทฝรั่งในเมืองไทยมาเป็นเวลานานทีเดียว