ขอความอนุเคราะห์เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการพิเศษ เพื่อเสนอความเห็นต่อการแก้ไขพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 ฉบับ
เรียน
ประธานคณะกรรมการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา (นายมีชัย ฤชุพันธุ์)
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ยกร่างพรบ.
การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กทม พัทยา
เทศบาล อบต. จำนวน 6 ฉบับไปแล้วนั้น
โดยปัจจุบันได้มีการรับฟังความคิดเห็นถึงวันที่ 31 มีนาคม 2561
ทั้งนี้ข้าพเจ้าได้ศึกษาร่างดังกล่าวและได้ติดตามการเสนอความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและการเสนอ
ร่าง พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาและผู้บริหารท้องถิ่นของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย
มีหลายประเด็นที่ชมรมฯมองว่าน่าจะส่อเจตนาที่ไม่ชอบมาพากล
เข้าข่ายเป็นการกีดกันสิทธิและส่อขัดกับรัฐธรรมนูญในหลักความเสมอภาคและเท่าเทียม
รวมถึงเจตนาที่จะไม่ให้เกิดการปฏิรูปทางการเมืองซึ่งขัดกับนโยบายนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้มีคนหน้าใหม่ในระบบการเมืองมากขึ้น
โดยหัวข้อที่ผิดปกติและหัวข้อที่ข้าพเจ้าขอนำเสนอความเห็นมีดังนี้
1. การเสนอให้แก้คุณสมบัติผู้สมัครฯ
จากเดิมต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน 1 ปี
เสนอให้แก้เป็น 5 ปี ของกระทรวงมหาดไทย ขัดกับ ข้อเสนอ กกต.และ สปท. ซึ่งผ่านความเห็นจาก อปท.ทั่วประเทศ
2. กำหนดให้ผู้บริหาร
จบ ปริญญาตรี แต่ก็อนุโลมให้ผู้ที่เคยเป็นแต่ไม่จบมีสิทธิ์สมัครได้
3. สนับสนุนร่าง
พรบ.ฉบับของ กกต. ซึ่งเป็นกลางและเป็นการส่งเสริมการปฏิรูปทางการเมือง
4. ความเท่าเทียมและเสมอภาคของผู้สมัครเก่าและใหม่
รัฐบาลเร่งรีบและอยากให้เลือกเร็วๆ (อปท.บางแห่งวาระปกติ
+รักษาการณ์ยาวถึง 7 8 ปี
ควรเว้นวรรค หรือ ขยายระยะเวลาการหาเสียง)
ในการนี้จึงขอความอนุเคราะห์ท่านช่วยพิจารณาอนุเคราะห์ให้ข้าพเจ้าและคณะได้เข้าไปนำเสนอความเห็นต่อการตรากฎหมายทั้ง
6
ฉบับ เพื่อให้เป็นตามบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตรากฎหมาย
อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติของเราสืบไป
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอันจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองของเราต่อไป
ข้อ
1 การเสนอให้แก้คุณสมบัติผู้สมัครสมาชิกสภาและผู้บริหารท้องถิ่น
จากเดิมต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
1
ปี เสนอให้แก้เป็น 5 ปี โดยกระทรวงมหาดไทย
ประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายน
2560
ข้าพเจ้าและสมาชิกชมรมได้เข้าไปพบ
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้อำนวยฝ่ายกฎหมาย
เพื่อสอบถามในประเด็นการแก้ไขในเรื่องนี้ โดย ณ ขณะนั้นยังไม่ได้มีการเสนอ
ซึ่งทั้ง 2 ท่านก็บอกว่าไม่น่าจะเสนอให้แก้ในประเด็นนี้
พอผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ก็มีการเสนอโดยใช้มติที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งข้าพเจ้าได้ติดตามเหตุผลของการเสนอให้แก้ไขในประเด็นนี้กลับไม่พบเหตุผลของการแก้ไข
แต่พบว่าเหตุผลที่แก้ไขก็เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 97 ตามคำให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นกับหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2560 ปีที่ 15
ฉบับที่ 5421 หัวข้อ เลือกตั้งท้องถิ่น วอร์มอัพก่อนการเลือกตั้งระดับชาติ
ดังใจความตอนหนึ่งว่า ประเด็นคุณสมบัติให้ยึดตามคุณสมบัติของ สส.
เพราะไม่ต้องคิดมาก
ซึ่งหากพิจารณาในประเด็นเรื่องการยกระดับให้เหมือนกับ
สส.
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 97 ก็ยิ่งผิดปกติเข้าไปใหญ่เพราะในรัฐธรรมนูญกำหนดเปิดกว้าง
ก ง แต่ความเห็นของกระทรวงมหาดไทยกลับตัด
ข้อ (ข) และ ข้อ (ง) ออก
ทำให้ผู้มีสิทธิ์สมัครสมาชิกสภาและผู้บริหารท้องถิ่นแคบลงกว่าเดิม ซึ่งดูแล้วเจตนาเหมือนมีความต้องการให้มีแต่นักการเมืองหน้าเก่า ข้อเสนอกระทรวงมหาดไทยขัดกับหน่วยงานอื่นที่ผ่านการรับฟังความเห็นจากทั่วประเทศ -
ผู้บริหาร มท.
นั่งคิดกันเองไม่ผ่านความเห็นของ อปท. หรือ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เจตนาคืออะไร -
ร่าง กกต.
ยืน 1 ปีเหมือนเดิมและผ่านความเห็นทั่วประเทศ
-
ร่าง สปท.ยืน 1 ปีและนำข้อ ข. ง.
เพิ่มเติมไปด้วย ผ่านความเห็นทั่วประเทศ (หมดงบประมาณกับ สปท.เป็นพันล้านบาท ไม่เอามาใช้หรือ) เหตุผลประกอบที่ข้าพเจ้าขอนำเสนอในการคงคุณสมบัติ
1
ปี
1. การเปลี่ยนแปลงควรมีการศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียก่อน
ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ยังหาเหตุผลในการแก้จาก 1 ปี
เป็น 5 ปี ไม่ได้เลย เพราะการบริหารงานดูที่ความรู้
ความสามารถ ชื่อในทะเบียนบ้านไม่ได้บ่อบอกถึงความสามารถ
ซึ่งข้าพเจ้าได้สรุปข้อดีและข้อเสียไว้ดังนี้ 1. เกิดการพัฒนาตัวผู้สมัครและการแข่งขันในเชิงนโยบายมากขึ้น
เมื่อมีการเปิดโอกาสให้มีผู้สมัครที่หลากหลาย
ผู้สมัครแต่ละคนก็จะต้องปฏิรูปตนเองทั้งในเรื่องการศึกษา การจัดทำนโยบาย
การบริหารงานให้โปร่งใส ส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดและสำคัญที่สุดการที่จะบอกว่าผู้สมัครมีความรู้
ความสามารถ การมีชื่อในทะเบียนบ้านไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกหรือเป็นตัวชี้วัดแต่อย่างใด 2. บางท้องถิ่นมีความเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด
จึงมีความจำเป็นต้องได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถสูงเข้ามาบริหาร
ซึ่งหากมีการแก้ไขตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอเป็น 5 ปี ข้าพเจ้ามองว่าจะเป็นการถอยหลังลงคลอง
อีกทั้งยังเป็นการกีดกันและขัดกับหลักความเสมอภาคและเท่าเทียม
กรณีที่ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าเป็นการกีดกันขัดกับหลักความเสมอภาคและเท่าเทียม เช่น
ตารางด้านล่าง จะเห็นว่าตำบลลาดสวาย มีประชากรเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3% รวม
6
ปี เพิ่มประมาณ 9,700 คน (ข้อมูลจาก www.stat.dopa.go.th)
ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะไม่สามารถเสนอตัวเป็นผู้แทนได้เลย
ซึ่งคนเหล่านี้อาจจะเป็นคนที่มีความรู้
ความสามารถและเข้าใจปัญหาของพื้นที่มากกว่าผู้สมัครที่มีอยู่ก็เป็นได้
|