ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
    มุมของมีชัย
  • ความคิดเสรีของมีชัย
  • เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
  • เรื่องสั้น
  • จดหมายถึงนาย
  •  
     
    เรื่องสั้น

    ความ (ใฝ่) ฝัน ตอน พ่อบุญน้อยเข้าสภา

    ความฝันอันสวยงามที่ผมเล่ามาในตอนที่แล้ว แม้จะทำให้ผมเคลิบเคลิ้มตามสมควร แต่ผมไม่มีวันยอมให้สิ่งเหล่านั้นคงสภาพอยู่แต่ในความฝัน ผมต้องทำให้เป็นความจริงขึ้นมาให้ได้


    สิ่งที่ปรากฏในความฝันของผม คือการที่ผู้สมัครจากพรรคใหญ่ ๆ ถูกใบแดง นั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยวิธีการหาเสียงของผู้สมัครแต่ละคน ผมมั่นใจว่าจะหมิ่นเหม่ต่อการถูก กกต.ลงโทษ ไม่ใบเหลืองก็ใบแดงเข้าสักใบหนึ่ง ถ้าตราบใดที่ผมยังมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ในสนามเลือกตั้งอย่างไม่ท้อถอย อาศัยความดี ความสุจริต เป็นที่ตั้ง ฟ้าดินอาจจะเห็นใจผมก็ได้


    ผมรู้ดีว่ากระแสของผู้คนกำลังเห่อต่อพรรคใหม่และพรรคใหญ่อย่างชนิดที่ฉุดไม่อยู่ แต่ในเมื่อเต่ายังชนะกระต่ายในนิทานได้ ทำไมผมจึงจะชนะคนที่มีพลังแต่เต็มไปด้วยความประมาทในการใช้กลยุทธต่าง ๆ หาเสียง บ้างไม่ได้


    แล้ววันที่ ๖ มกราคม อันเป็นวันเลือกตั้งก็มาถึง ผู้คนตื่นตัวไปลงคะแนนกันล้นหลาม ผมไปถึงหน่วยเลือกตั้งที่ใกล้บ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพื่อไปดูแลว่ากรรมการหน่วยเขาทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ เพราะผมหัวเดียวกระเทียมลีบจริง ๆ พรรคอื่น ๆ เขามีคนของพรรคเข้าไปเป็นกรรมการด้วย แต่ผมตัวคนเดียว มีแต่พ่อตาแม่ยาย ลูกเมีย และพี่เมียน้องเมีย จะไปอาศัยพึ่งพาพรรคที่ผมสังกัดอยู่คงยาก เพราะพรรคของเราเป็นพรรคเล็ก ๆ ลำพังหัวหน้าพรรคซึ่งมีชื่อหมายเลข ๑ ในบัญชีรายชื่อ จะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ผมจึงต้องมาดูด้วยตัวเอง อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อจะได้ถือโอกาสทักทายคนในหมู่บ้านที่จะมาลงคะแนน เป็นการเตือนใจให้เขารู้ว่าผมสมัครกับเขาด้วย (ผมรู้น่าว่าวันนี้หาเสียงไม่ได้ ผมเพียงแต่มายืนยิ้มทักทายฐานคนรู้จักกัน โดยไม่ได้พูดจาอะไรมากไปกว่านั้น)


    ที่ผมมาถึงหน่วยเลือกตั้งแต่เช้านั้น ไม่ใช่เพราะผมตื่นเต้นหรือตื่นแต่เช้าหรอก หากแต่เป็นเพราะคืนก่อนทั้งคืนผมไม่ได้นอนเลย ผมอยากรู้ว่าในคืนที่เขาเรียกกันว่า “คืนหมาหอน” นั้น ผู้สมัครอื่น ๆ เขาทำอะไรกันบ้าง ผมจึงขับรถกระบะคู่ชีพตะรอน ๆ ไปตามที่ต่าง ๆ และทำให้ได้รู้ได้เห็นว่าเขาแจกเงินกันอย่างไร บางคนก็ใช้มอเตอร์ไซค์มาแวะเวียนส่งเงินให้ตามจุดที่ตกลงกันไว้ แต่บางคนก็แจกถึงหัวกะไดบ้านทุกบ้านไป แต่บางรายเขาไม่นำเงินติดตัวมาเพราะกลัวว่าจะถูกจับของกลางได้ เขาใช้วิธีแจกบัตรคูปอง โดยเป็นที่รู้กันว่าถ้าผู้สมัครรายนั้นได้คะแนนเสียงข้างมากแล้ว ทุกคนที่ได้รับคูปองจะนำคูปองนั้นไปขึ้นเป็นเงินได้ บางคนก็ให้เงินไว้กับกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นงวดสุดท้าย ส่วนกำนันผู้ใหญ่บ้านจะทำอย่างไรกับลูกบ้านเพื่อให้ลูกบ้านไปลงคะแนนให้ก็เป็นเรื่องของกำนันผู้ใหญ่บ้านนั้น ๆ การที่ผมไปตระเวนดูกิจกรรมในคืนหมาหอนไม่ใช่ต้องการจะไปจับผิดใคร เพียงแต่ต้องการเรียนรู้ เผื่อผมได้รับเลือกตั้งผมจะได้ไปแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง


    เมื่อหมดเวลาลงคะแนนแล้ว เกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นเล็กน้อยในหน่วยเลือกตั้งที่ใกล้บ้านผม กรรมการประจำหน่วยเกิดเคยชินกับวิธีการเลือกตั้งที่แล้ว ๆ มา จึงเปิดหีบบัตรและลงมือนับคะแนนทันที ผมได้พยายามทักท้วงแล้วว่าตามระบบใหม่ กรรมการประจำหน่วยจะต้องปิดหีบตีตราครั่ง แล้วส่งหีบนั้นไปยังที่นับคะแนนที่กำหนดไว้ที่ตัวอำเภอ แต่กรรมการกลับมองหน้าผม เหมือนกับว่าผมมาจากโลกไหนกันแน่ ในเมื่อไม่เคยมีใครพูดให้เขาฟังมาก่อนเลย จู่ ๆ จะทำอย่างที่ผมว่าได้อย่างไร (ผมก็ไม่รู้ว่า กกต.ฝ่ายประชาสัมพันธ์เขาใช้งบประมาณไปทำอะไร ถึงอบรมกันไม่ได้ครบถ้วนแบบนี้) เมื่อห้ามไม่ฟัง ผมเลยถือโอกาสยืนดูเขานับคะแนนจนแล้วเสร็จ แล้วเลยพลอยได้รู้ว่าหน่วยเลือกตั้งที่อยู่ใกล้บ้านผม ผมได้คะแนนมาสองร้อยกว่าคะแนน ทำให้ใจชื้นขึ้นไม่น้อย เมื่อกรรมการนับคะแนนเสร็จแล้วจึงนำหีบบัตรเลือกตั้งไปส่งที่จุดนับคะเแนน ถึงตอนนี้กรรมการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งและผู้แทนพรรคการเมืองและประชาชนที่มาคอยดูการนับคะแนนโวยวายกันใหญ่ แต่เมื่อไล่เลียงกันแล้วจึงสรุปว่ากรรมการประจำหน่วยไม่รู้เรื่องจริง ๆ ไม่ได้มีใครคิดจะทุจริตคดโกงแต่อย่างใด เหตุการณ์จึงสงบลงได้


    วันรุ่งขึ้นตอนเย็น การนับคะแนนของเขตเลือกตั้งที่ผมลงสมัครจึงแล้วเสร็จ ผลปรากฏว่าผมได้คะแนนเพียงแปดร้อยกว่าคะแนน แต่ไม่ได้ทำให้ผมท้อถอยหรือหมดกำลังใจแต่อย่างไร


    ผมใช้เวลาว่างก่อนที่ กกต.จะประกาศผลการเลือกตั้ง ไปขอบคุณชาวบ้านอย่างทั่วถึง ทั้งยังปวารณาตัวด้วยว่า แม้ผมจะไม่ได้รับเลือกตั้ง หากชาวบ้านมีอะไรจะใช้ผม ผมก็ยินดีทำให้อย่างสุดกำลังตามประสาชาวบ้านด้วยกัน ที่ผมทำเช่นนั้นเพราะผมเชื่อ โดยอาศัยข้อมูลจากความฝันของผม ว่าถึงอย่างไรก็จะต้องมีการเลือกตั้งรอบที่สองอย่างแน่นอน


    การเลือกตั้งในรอบแรกนี้ปรากฏว่า ผู้สมัครจากพรรคการเมืองที่ผมสังกัดไม่ได้รับเลือกตั้งเลยแม้แต่คนเดียว ผู้สมัครตามบัญชีรายชื่อซึ่งมีหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรครวมอยู่ด้วย ก็ได้คะแนนไม่ถึงที่กำหนดไว้ จึงไม่ได้รับเลือกตั้งเช่นเดียวกัน


    และแล้วความเชื่อของผมก็ถูกต้อง (ก็ข้อมูลของผมเป็นข้อมูลที่เทวดาให้มา) คนที่ได้คะแนนสูงสุดถูก กกต.เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “ใบแดง”) และกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ ๒๙ มกราคม มูลเหตุที่ กกต.สั่งเช่นนั้นก็มาจากการฟ้องร้องของคนที่ได้คะแนนที่ ๒ และที่ ๓ ความแค้นเคืองที่คนได้คะแนนสูงสุด มีต่อคนที่นำเรื่องไปฟ้องจึงรุนแรงอย่างชนิดที่ไม่ยอมเผาผีกัน


    ก่อนถึงวันเลือกตั้งรอบที่สอง ผมรู้โดยสัญชาตญาณว่าผมมีโอกาสได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ค่อนข้างมาก เพราะผู้สมัครที่ถูกใบแดงยังโกรธเคืองผู้สมัครรายอื่นๆ อยู่ และคนที่ไม่มีพิษไม่มีภัยในทางการเมืองที่สุด ก็คือ ผม ผมจึงก้มหน้าก้มตาหาเสียง หาคะแนนสงสารจากชาวบ้านอย่างเต็มที่ การตระเวนขายผลไม้เป็นอันต้องหยุดชั่วคราว ผมไม่ต้องไปฟังคำปราศรัยเพื่อหารายได้พิเศษเหมือนการหาเสียงคราวที่แล้วอีก เพราะไม่มีใครมาหาเสียงอย่างนั้น


    ในการหาเสียงครั้งนี้ ผมต้องเลิกหาเสียงด้วยการร้องลิเก เพราะ กกต.วินิจฉัยให้ใบแดงกับผู้สมัครคนหนึ่งที่นำตลกไปเล่นตลกพร้อมกับการช่วยหาเสียง โดย กกต.ถือว่าเป็นการหาเสียงโดยแสดงมหรสพ ผมกลัวว่าผมจะต้องถูกใบเหลืองใบแดงด้วย จึงอดกลั้นไม่เผลอร้องลิเกอย่างที่ทำมาในการหาเสียงรอบแรก แม้ผมจะมั่นใจในข้อกฎหมายว่าการหาเสียงด้วยวิธีการร้องลิเกโดยผู้สมัครจะไม่เป็นความผิด มิฉะนั้นเวลาคุณไตรรงค์ สุวรรณคีรีไปหาเสียงที่ไหนพรรคคุณไตรรงค์คงจะถูกใบเหลืองใบแดงทุกทีไป เนื่องจากคุณไตรรงค์พูดจาตลกให้คนฟังหัวเราะได้อยู่ตลอดเวลา แต่ผมไม่อยากจะเสี่ยง เลยงดเสีย จึงทำให้ชาวบ้านของผมอดฟังลิเกที่ไพเราะเพราะพริ้งอย่างน่าเสียดาย


    ในคืนวันที่ ๒๙ มกราคม ผมไปยืนปะปนดูเขานับคะแนนตั้งแต่ต้นจนจบ คะแนนที่ออกมาปรากฏว่าผมมีคะแนนนำมาโดยตลอด แม้จะไม่มากนัก แต่ก็พอทำให้ตื่นเต้นและภูมิใจได้พอสมควร ยิ่งตกดึกบัตรเลือกตั้งที่ยังไม่ได้นับมีเหลือไม่มากนัก แต่คะแนนของผมยังห่างจากผู้สมัครรายอื่น ๆ อยู่อีกมาก เกือบจะเรียกได้ว่าแม้คะแนนที่เหลือจะยกให้คนอื่นหมดผมก็ยังมีคะแนนสูงสุดอยู่ดี ถึงตอนนี้ผมยืนตัวชา น้ำตาไหล พูดอะไรไม่ออก และเมื่อนับจนใบสุดท้ายปรากฏว่าผมได้รับคะแนนสูงสุดเป็นจำนวนหมื่นกว่าคะแนน


    ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยน้ำตาที่ไหลพราก พร้อมทั้งยกมือไหว้เพื่อขอบคุณเทวดาที่ช่วยทำให้ความฝันของผมเป็นความจริง ขอบคุณที่ท่านได้กรุณามาเข้าฝันผมล่วงหน้า ทุกอย่างตรงตามที่ผมนอนหลับฝันไปอย่างไม่ผิดเพี้ยน


    การที่ผมได้รับคะแนนสูงสุดและได้รับเลือกตั้งครั้งนี้ ในสายตาของคนทั่วไปถือว่าเป็นความปาฏิหารย์ เพราะไม่มีใครนึกออกว่า จากการที่ได้คะแนนที่โหล่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ผมจะทะยานขึ้นมาได้คะแนนสูงสุดในช่วงเวลาห่างกันเพียงไม่กี่วันได้อย่างไร


    เมื่อหาเหตุผลอะไรชี้แจงไม่ได้ สื่อมวลชนจึงตั้งเป็นข้อสังเกตทำนองกล่าวหาว่า ผมคงจะมีข้อตกลงกับผู้สมัครที่ถูกใบแดง ในทำนองที่ว่าผู้สมัครรายนั้นจะสนับสนุนผมและเมื่อผมได้รับเลือกตั้งแล้วผมจะลาออกในภายหลัง เพื่อให้ผู้สม้ครรายนั้นมาลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งเมื่อพ้นระยะเวลาถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งแล้ว


    ผมคงต้องระมัดระวังต่อพิษร้ายแห่ง “การเมือง” นับแต่วันนี้เป็นต้นไป


    ทันทีที่ผมได้รับเลือกตั้ง นอกจากเพื่อนบ้านเรือนเคียงจะพากันมาแสดงความยินดี (ซึ่งแน่ละจะต้องมีการฉลองด้วยข้าวปลาอาหารและเหล้ายาปลาปิ้งตามสมควร) แล้ว พรรคการเมืองที่ผมสังกัดอยู่ ซึ่งนับแต่วันที่พบหน้ากันเมื่อตอนที่ผมไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้ว ก็ไม่ได้พบกันอีกเลยนั้น ท่านหัวหน้าพรรคและบุคคลสำคัญในพรรคต่างมาแสดงความยินดีกับผมโดยทั่วหน้า ผมเชื่อว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นน่าจะยินดีอย่างจริงใจ มิใช่เป็นเรื่องของการเมือง เพราะทั้งพรรคมีผมกู้หน้าไว้ได้เพียงคนเดียว เหมือนอย่างที่ผมฝันไปไม่มีผิด ท่านผู้ใหญ่ในพรรคยังหยิบยื่นเงินทองไว้สำหรับให้ผมสำรองใช้จ่ายในการเดินทางไปรายงานตัวต่อสภา พร้อมทั้งชำระหนี้สินที่มีอยู่ (ซึ่งอันที่จริงผมก็มิได้มีหนี้สินอะไรมากมาย คงค้างค่าน้ำมันรถอยู่บ้างไม่กี่พันบาท เนื่องจากยังไม่มีเวลาไปชำระ เพราะมัวแต่ต้อนรับขับสู้แขกเหรื่ออยู่) ทำให้ผมหมดกังวลกับรายจ่ายที่ไม่คาดคิดมาก่อนในเรื่องการเลี้ยงฉลองของเพื่อนบ้านไปได้มาก (นี่ผมยังสงสัยอยู่ว่าเงินที่ผมรับมาจากหัวหน้าพรรคจะเข้าข่ายการทำผิดกฎหมายของ ปปช. ที่ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับเงินจากใครเกินจำนวนที่กำหนด หรือเปล่า ดูเหมือนเขากำหนดไว้ ๓,๐๐๐ บาท)


    ผมเริ่มสังเกตเห็นว่าค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่เป็นผู้แทนราษฎรนั้นมีมากมายอย่างไม่นึกฝัน นี่ยังไม่ทันไร ผมต้องไปงานบอกบุญในพิธีการต่าง ๆ วันละหลาย ๆ งาน แต่ละงานผมเคยช่วยเขารายละ ๓๐ บาทบ้าง ๕๐ บาทบ้าง ซึ่งก็ไม่เคยเห็นมีใครว่าอะไร แต่ทันทีที่ผมเป็นผู้แทนราษฎร เขากลับมองผมเหมือนตัวประหลาด แล้วแอบซุบซิบกันว่าผมไม่ทำตัวให้สมกับเป็นผู้แทนราษฎร นี่ถ้าผมต้องช่วยงานเขาเป็นร้อยเป็นชั่ง หรือหลาย ๆ ร้อย หลาย ๆ ชั่ง เงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเดือนละ ๗๐,๐๐๐ บาท ที่ผมเคยนึกว่ามากมายมหาศาลนั้น จะเหลือตกถึงปากถึงท้องผมและลูกเมียผมสักเดือนละกี่บาทกัน (นี่ยังไม่ต้องนึกถึงการตอบแทนพ่อตาแม่ยาย น้องเมีย และพี่เมีย ที่ช่วยหาเสียงกันมา)


    วันที่ผมไปรายงานตัวที่สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ผมได้รับการต้อนรับและสนใจจากสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก ใคร ๆ ก็อยากรู้ว่าทำอย่างไรผมจึงได้รับเลือกตั้ง ในเมื่อผมไม่มีฐานะดีเหมือนคนอื่นเขา ผมจึงเพิ่งได้ข้อสรุปว่า ที่เขาโฆษณากันว่าให้เลือกคนดี เลือกคนมีความรู้ มีความซื่อสัตย์สุจริต นั้น เขาหมายถึงว่า ต้องมีเงินด้วย การที่ผมไม่มีเงิน แถมยังค่อนข้างจะยากจน อยู่ในลักษณะหาเช้ากินค่ำ คนจึงไม่เคยคาดคิดว่าผมควรจะได้รับเลือกตั้ง เมื่อเกิดได้รับเลือกตั้งมาจึงกลายเป็นของแปลกประหลาด


    ในการรายงานตัว ซึ่งค่อนข้างจะยุ่งยากพอสมควร เพราะต้องเตรียมรูปถ่าย และเอกสารอะไร ๆ อีกมากมายแล้ว ยังต้องนั่งกรอกประวัติและอื่น ๆ อีกจนเมื่อยมือ แต่เมื่อเสร็จพิธีการแล้ว เจ้าหน้าที่ได้แจกคู่มือต่าง ๆ รวมทั้งรัฐธรรมนูญมาให้อีกหนึ่งชุด ผมเพิ่งรู้ในวันนั้นเองว่า การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น แม้จะได้รับความเหน็ดเหนื่อยและยุ่งยากจากการหาเสียงมาอย่างหนักแล้ว แต่การจะดำรงตำแหน่งสมาชิกต่อไปให้ถูกต้องนั้น ยังจะต้องยุ่งยากและลำบากอีกไม่น้อย


    เริ่มต้นทีเดียว เมื่อพรรคการเมืองของผมมีผมคนเดียวที่ได้รับเลือกตั้ง ผมจะดำรงตนอยู่ในสภาอย่างไร ในขณะนี้เห็นเขาแบ่งกันออกเป็น ๒ ขั้ว คือฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายค้าน ในเมื่อผมมาตัวคนเดียว ผมจะต้องอยู่ฝ่ายไหน และถ้าผมอยากเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือเป็นฝ่ายค้าน ผมจะต้องทำอย่างไรบ้าง ในแบบฟอร์มที่เขาให้กรอก ก็ไม่เห็นบอกไว้ที่ไหนว่าจะให้ผมสมัครใจเป็นฝ่ายไหน หรือจะให้ผมไปสมัครกับใคร เมื่อพบกับหัวหน้าพรรคครั้งสุดท้ายก็ไม่เห็นท่านบอกว่าอะไร พูดแต่เพียงว่าขอให้ผมทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อจะได้จรรโลงพรรคของเราให้พัฒนาและแข็งแกร่งต่อไปเท่านั้น


    ในการทำงานในสภา ผมจะปรึกษาหารือกับพรรคของผมได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครในพรรคสักคนที่ได้รับเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และถ้าพรรคเขาเกิดมีมติให้ผมทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่น่าจะเหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภา ผมจะทำอย่างไร พรรคจะถือว่าผมขัดมติพรรคแล้วเลยพาลไล่ผมออกจากพรรคทำให้ผมต้องสิ้นสมาชิกภาพไปด้วยอย่างนั้นหรือ แต่เรื่องนี้คงไม่หนักหนานัก เพราะผมอาจไปขอความรู้ถึงวิธีการทำงานแบบหัวเดียวกระเทียมลีบจากคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งเคยมีประสบการณ์อย่างเดียวกันนี้มาก่อนแล้วได้


    เมื่ออ่านรัฐธรรมนูญได้พบว่าในการตั้งกรรมาธิการเพื่อกิจการต่าง ๆ ของสภาต้องตั้งตามอัตราส่วนของจำนวนสมาชิกแต่ละพรรค แปลว่าผมคงจะต้องเข้าไปยุ่งกับเขาเกือบทุกคณะ แล้วผมจะแบ่งภาคตัวเองอย่างไร จะมีเวลากลับไปทำมาหากินขายผลไม้เพื่อจุนเจือครอบครัวได้ตอนไหน เพราะเก็งดูแล้วเงินเดือนที่ได้จากสภาคงตกถึงลูกเมียไม่กี่บาท ถ้าไม่ไปทำมาหากินเพื่อหารายได้เสริม ครอบครัวผมอาจอดตายได้


    เรื่องที่ผมกำลังหนักใจอยู่ ก็คือ เรื่องการแจ้งรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ปปช. เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ที่อาจจะกลายเป็นจุดให้คนหยิบไปโจมตีเพื่อประโยชน์ในทางการเมืองในภายหลังได้ ใครจะไปรู้ว่าอนาคตผมอาจได้เป็นรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีกับเขาบ้าง ผมจึงต้องทำเรื่องนี้ให้รอบคอบ ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงที่สุด ปัญหาของผมไม่ได้อยู่ที่มีทรัพย์สินมากมายล้นเหลือเหมือนใครอื่นเขา แต่อยู่ที่ความสับสนในกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินที่มีอยู่ ผมมีบ้านและที่ดินอยู่อาศัย มีรถกระบะเก่า ๆ และหนี้สินบ้างเล็กน้อย จริง ๆ แล้วก็ไม่ควรมีปัญหาอะไรในการที่ทำบัญชีแจ้งรายการทรัพย์สินตามที่ ปปช.ต้องการ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าทรัพย์สินเล็กน้อยเหล่านั้นอาจเป็นของผมหรือไม่ใช่ของผมก็ได้ ถ้าผมแจ้งไปทางหนึ่งทางใดแล้วอาจผิดพลาดได้


    เริ่มต้นแต่ที่ดินที่ใช้ปลูกบ้านอยู่ ตามโฉนดที่ดินก็เป็นชื่อของพ่อตาของผม ตอนผมเข้ามาอยู่ ที่ดินติดจำนองอยู่ใกล้จะขาดแล้ว เจ้าของเงินเขาจะบังคับจำนอง แต่ผมไปขอร้องเขาไว้ขอผัดผ่อนเวลาออกไปอีก ต่อมาผมเก็บหอมรอมริบได้เงินพอที่จะไปไถ่ ผมจึงมอบเงินให้พ่อตาไปไถ่ออกมา พ่อตาผมก็บอกกับลูก ๆ ทุกคนว่าที่ดินแปลงนี้ไอ้ทิดมันไถ่มาด้วยเงินของมัน ดังนั้นจึงยกให้มันไป แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้โอนทะเบียนให้ จึงยังมีชื่อของพ่อตาเป็นเจ้าของอยู่ ส่วนตัวบ้านที่ผมอาศัยอยู่นี้เดิมก็เป็นของพ่อตาเช่นกัน แต่เป็นเรือนไม้เล็ก ๆ หลังคามุงสังกะสี เมื่อผมมาอยู่ ก็ค่อย ๆ รื้อและปรับปรุงเรื่อยมาด้วยเงินที่ผมทำมาหาได้ จนบัดนี้สภาพของบ้านที่อยู่ไม่เหลือรูปรอยของบ้านเดิมอีกแล้ว กลายเป็นบ้านใหม่ที่ใหญ่ขึ้น และหลังคามุงกระเบื้อง


    มีปัญหาว่าทั้งที่ดินและบ้านเป็นทรัพย์สินที่ผมต้องแจ้งหรือไม่ เพราะถ้าจะว่าไปตามความเป็นจริงตามที่พ่อตาได้เคยตกปากลงคำและพี่เมียน้องเมียของผมก็รับรู้แล้วว่าพ่อตายกให้ผม ส่วนบ้านนั้นก็เป็นเงินของผมทั้งสิ้น แต่ตามทะเบียนนั้นพ่อตาผมยังเป็นเจ้าของที่ดินและเป็นเจ้าของเลขที่บ้านที่ขอไว้เดิม นี่ถ้าผมแจ้งในบัญชีทรัพย์สินว่าเป็นทรัพย์สินของผม ต่อไปผมเป็นใหญ่ขึ้น อาจมีคนมาร้องเรียนว่าผมจงใจแจ้งเท็จจนทำให้ผมต้องพ้นจากตำแหน่งและถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลาถึง ๕ ปี หรือถ้าไม่แจ้งไว้ในรายการทรัพย์สิน ต่อไปเกิดมีคนมาร้องเรียนว่าผมจงใจปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง แล้วผมก็ต้องพ้นจากตำแหน่งอีกเช่นกัน แปลว่าผมจะโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ผมจึงยังกลุ้มใจอยู่ ตั้งใจว่าว่าง ๆ จะไปหา ปปช.ถามไถ่เขาให้รู้เรื่องเสียก่อน แต่ก็ยังหวั่น ๆ อยู่ว่า เมื่อเขาตอบมาแล้ว แต่กว่าผมจะได้เป็นใหญ่เป็นโตจนมีคนอิจฉาพอที่จะไปร้องเรียนได้ ปปช.ชุดนี้ก็คงล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว ปปช.ชุดใหม่จะยอมรับคำชี้แจงที่ชุดเก่าให้ผมมาได้หรือไม่ยังไม่รู้ น่ากลุ้มใจจริง


    รถกระบะเก่า ๆ นั่นก็เป็นปัญหาไม่น้อยเหมือนกัน เพราะเมื่อตอนซื้อมาใช้นั้น พ่อตาผมออกเงินให้ แต่เพื่อความสะดวกตอนไปซื้อผมเลยใส่ชื่อผมเป็นเจ้าของ แต่ความจริงไม่ใช่ของผมเพราะผมไม่ได้ออกเงิน แต่ส่วนใหญ่ผมก็เอาไปใช้ในการตระเวนขายผลไม้ ผมเลยยังไม่รู้ว่าผมควรจะแจ้งในบัญชีทรัพย์สินว่าอย่างไรดี จะว่าเป็นของผมก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่ของผมก็ไม่เชิง


    แต่ที่น่าหนักใจกว่านั้นก็คือ กฎหมายเขากำหนดให้ผมต้องแจ้งทรัพย์สินของเมียผมด้วย อะไร ๆ ที่มีชื่อของเมียผมเป็นเจ้าของนั้นคงไม่เป็นไร ผมพอจะค้นหามาแจ้งได้ แต่ที่เขากะเกณฑ์ให้แจ้งทองหยองเพชรพลอยด้วย นี่ต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเวลาเมียเขาซื้อของพวกนี้เขาไม่เคยบอกให้ผมรู้ และถ้าวันไหนผมเกิดไปถามเขาเข้า เขาเป็นเอ็ดตะโรจนโดดหนีเรือนไม่ทัน แล้วนี่ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามีอะไรบ้าง เป็นราคาเท่าไร และเมื่อแจ้งไปแล้ว ปปช.เขาไม่ใช่เชื่อง่าย ๆ เขาจะต้องไปขอดู แล้วถ่ายรูปเอามาไว้เป็นหลักฐานด้วย ลำพังผมไปถามเขาว่ามีอะไรบ้าง ราคาเท่าไร ก็แทบแย่แล้ว ผมขนหัวลุกทุกทีเมื่อนึกว่าจะต้องพาเจ้าหน้าที่ ปปช.ไปดูของจริงแล้วถ่ายรูป เมียผมคงเอาไม้แพ่นกระบานทั้งผมและเจ้าหน้าที่ ปปช. แล้วจะเลยกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งให้โด่งดังโดยไม่จำเป็น ถ้าผมไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเขามีอะไรบ้าง แล้วผมจะแจ้งลงในรายการทรัพย์สินได้อย่างไร ถ้าไม่แจ้ง วันหน้า ปปช.ก็ต้องกล่าวหาว่าผมปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ในเมื่อแม้แต่ผมเองก็ไม่มีทางรู้ข้อความจริงนั้น แล้วจะว่าผมปกปิดข้อความจริงที่ควรบอก ให้แจ้งได้อย่างไร และถ้าผมบอกไปตามที่เคยเห็นเมียผมเขาใส่ (ผมเคยเห็นเขาใส่ทองหนักสองสลึงอยู่สองสามเส้น ตอนที่เขาใส่แม้แต่มองตรง ๆ ผมยังไม่กล้า ได้แต่คอยชำเลืองมองตอนเขาเผลอด้วยความปราบปลื้มใจที่เมียผมมีเหลือง ๆ แดง ๆ ใส่คออวดชาวบ้านพอไม่ให้ใครดูถูกบ้าง) เกิดเขามีมากกว่านั้น ผมก็คงถูกข้อกล่าวหาว่าแสดงรายการทรัพย์สินอันเท็จ จนได้


    นี่ยังเคราะห์ดีที่พรรคของผมไม่มีใครได้รับเลือกตั้ง และคงไม่มีทางได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มิฉะนั้นผมก็คงต้องไปเป็นรัฐมนตรีตามที่หัวหน้าพรรคของผมเคยสัญญาไว้ ถึงตอนนั้นผมคงเป็นทุกข์มากกว่านี้ เพราะรัฐมนตรีถูกห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของใครก็ไม่ได้ ทั้งยังห้ามไม่ให้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนใด ๆ อีกด้วย แล้วผมจะทำอย่างไรกับกิจการค้าอันสุจริตที่เป็นแหล่งหารายได้เลี้ยงชีพของผมและครอบครัว จริงอยู่กิจการของผมไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่เมื่อดูกฎหมายแล้วก็เข้าข่ายไปเสียหมด


    ลองคิดดูซิครับแม้ผมจะเป็นคนออกเงินไปซื้อผลไม้มาขาย แต่รถที่ใช้นั้นซื้อมาด้วยเงินที่พ่อตาเป็นคนออก เวลาไปขาย ผมไม่ได้ไปขายคนเดียว บางทีพี่เมียน้องเมีย หรือแม้แต่พ่อตาก็ไปขายด้วย (พ่อตาผมจะไปขายก็แต่เฉพาะเมื่อรู้ว่าผมจะไปขายแถว ๆ ที่เขาตีไก่ชนกัน) ได้เงินมาก็แบ่ง ๆ กันไป ทั้งหมดคงจะพอถือได้ว่าเป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อเป็นหุ้นส่วนกันแล้วกฎหมายย่อมถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วน (แม้จะไม่มีห้างเป็นที่ตั้งถาวรก็ตาม) ผมซึ่งเป็นผู้ไปจัดการซื้อผลไม้และนำมาขาย เป็นหนี้เป็นสินใครจากการนี้ก็ต้องไปชำระ ผมจึงกลายเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างนี้ อันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จริงอยู่เมื่อผมไปเป็นรัฐมนตรีแล้วผมคงไม่มีเวลาไปทำอย่างนั้นได้อีก (นอกจากวันเสาร์อาทิตย์ที่กลับบ้านผมอาจจะไปช่วยเขาบ้าง แต่คงไม่ค่อยน่าดูนักถ้าหากใครไปเห็นรัฐมนตรีขับรถขายผลไม้อยู่ สื่อมวลชนคงหาว่าผมไม่รักษาเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งรัฐมนตรี จนอาจถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้) แต่กิจการขายผลไม้คงหยุดไม่ได้ มิฉะนั้นครอบครัวผม (ซึ่งรวมทั้งพ่อตาแม่ยาย พี่เมียและน้องเมียและผัว ๆ เมีย ๆ ของเขา) คงอดตาย เมื่อพวกเขายังทำกิจการอยู่ต่อไปผมก็คงยังถูกถือว่าเป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างหุ้นส่วนดังกล่าวอันเป็นการต้องห้ามด้วยเช่นกัน


    นับว่าเป็นบุญของผมแท้ ๆ ที่ผมได้รับเลือกตั้งมาคนเดียวทั้งพรรค ผมจึงยังไม่ต้องไปเป็นรัฐมนตรีให้หนักใจ !!

    มีชัย ฤชุพันธุ์