คนสองคนที่จะรักกันนั้น โดยเริ่มต้นย่อมต้องขึ้นอยู่กับความถูกอัธยาศัย ความนิยมยกย่อง หรือความชอบใจในบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อรักกันแล้วและอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ เข้า มักจะลืมสิ่งที่ตนเคยชอบเพราะสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นของธรรมดาที่เคยชินไปแล้ว และเริ่มมองหาสิ่งใหม่ ๆ เพิ่มพูนขึ้นเพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อย่างน้อยก็ในความคิดของตน แล้วก็มักจะเคี่ยวเข็ญอีกฝ่ายหนึ่งให้ทำหรือเป็น
เมื่อไม่ได้ดังใจจึงหงุดหงิด หรือคร่ำครวญคิดแต่ว่าตนโชคไม่ดีที่ ไม่ได้ดังใจ
อันเป็นต้นเหตุแห่งการถกเถียงหรือระหองระแหงกันได้
ถ้ายิ่งเป็นคนประเภท คิดมาก ด้วยแล้ว ย่อมมีเรื่องมีราวมีปากมีเสียงกันไม่หยุดหย่อน
ลืมนึกถึงความจริงที่ว่า ของบางอย่างมาควบคู่หรือพร้อมกันไม่ได้ เพราะขัดกันเองอยู่ในตัว เช่น คนที่เงียบขรึม ย่อมไม่ช่างพูดหรือช่างเอาใจ คนที่ช่างพูดช่างเอาใจก็ไม่มีทางที่จะวางมาดให้ดูน่าเกรงขาม หรือคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ชอบคบค้าสมาคมกับคนทั่วไป ย่อมยากที่จะเป็นคนอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน หรือคนที่ชอบขลุกอยู่แต่กับครอบครัวหรือในบ้าน ย่อมยากที่จะเป็นคนชอบพาคู่ของตนออกงานการ คนที่เป็นคนเจ้าระเบียบเรียบร้อยย่อมจะเป็นคนขี้บ่นจู้จี้ คนที่แต่งตัว นิ๊ง อยู่ตลอดเวลา ย่อมยากที่จะไม่ใช้เงินเปลือง คนที่เป็นคนอ่อนนุ่มตามใจคู่ครองทุกอย่างก็ยากที่จะหวังให้เขามีความคิดริเริ่มหรือเป็นตัวของตัวเองหรือเป็นผู้นำได้อย่างสมบูรณ์ ในทางกลับกันคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีลักษณะเป็นผู้นำ ย่อมยากที่จะหวังให้เขาคอยเอาอกเอาใจเราอยู่ตลอดเวลา
ของเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งที่คู่กันหรือมีอยู่พร้อมกัน
เมื่อเราเลือกสิ่งหนึ่ง ต้องยอมรับอีกสิ่งหนึ่งที่เป็น ผลพลอยได้ ของอีกด้านหนึ่งด้วย และเมื่อเราได้เลือกที่จะชอบเพราะเขามีอุปนิสัยอย่างใดแล้ว ก็ต้องรับรู้และไม่ไปพยายามให้เขามีในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอุปนิสัยนั้น และพยายามหาความสุขจากสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งมีและเราเคยชอบ พร้อมทั้งยอมรับทุกข์อันเกิดจาก ผลพลอยได้ นั้น ๆ
|