เราเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองกันอย่างเอาจริงเอาจัง
ประชาชนทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้เฒ่า ทั้งที่มีความรู้ธรรมดาและนักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นนักคิดหรือนักปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรืออาจารย์ และไม่ว่าจะเป็นคนเดินดินหรือนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง ต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐสภาต้องผ่านร่างรัฐธรรมนูญที่ สสร. ยกร่างขึ้น
เมื่อรัฐสภาผ่านรัฐธรรมนูญออกมาใช้บังคับแล้ว ผู้คนต่างพากันชื่นชมว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่เป็นของประชาชน เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เป็นรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างกว้างขวาง มีแนวทางในการปฏิรูปการเมืองอย่างละเอียด มีกรอบการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน การปกครองท้องถิ่น การกระจายอำนาจ และการปฏิรูปการศึกษา
แล้วเราจะหยุดอยู่เพียงเท่านั้นหรือ เราจะพอใจเพียงที่มีรัฐธรรมนูญ โดยไม่อยากให้เกิดผลตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญอย่างนั้นหรือ
การปฏิรูปการเมืองนั้นเป็นต้นลำธารแห่งการปฏิรูปอื่น ๆ ทั้งปวง เพราะเมื่อการเมืองดี ย่อมมีคนนำและคิดพร้อมทั้งดำเนินการให้เกิดการปฏิบัติในการปฏิรูปในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
แต่การปฏิรูปการเมือง ไม่ได้อยู่ที่ นักการเมืองแต่เพียงฝ่ายเดียว และไม่ได้เกิดขึ้นได้เองเพียงเพราะได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว หรือเพียงเพราะความอยากหรือความหวังของใคร
นักการเมืองจะดี มีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับประชาชนว่ามองเห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้เพียงใด และได้ทำหน้าที่ส่วนของตนหรือไม่
วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๔ อันเป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน และจะเป็นวันสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าประชาชนพร้อมที่จะให้มีการปฏิรูปการเมืองดังที่ได้แสดงออกไว้ และมีศักยภาพพอที่จะทำให้เกิดการปฏิรูปการเมืองหรือไม่
หรือเป็นเพียงแต่ การแสดงออก โดยมิได้มีความต้องการจริง
เป็นเพียงการแสดงเพื่อให้เกิดภาพที่หลอกตัวเองหรือหลอกชาวโลก
เป็นเพียงการสร้างภาพอีกวิธีหนึ่งของบรรดาคนที่อ้างตัวว่าเป็นผู้นำสังคม เป็นผู้นำในทางความคิด หรือเป็นพวกนักวิชาการ เพื่อสร้างความเด่นความดังให้ตนเอง สร้างให้คนเข้าใจว่าตนเป็นนักปฏิรูปสังคม โดยแท้จริงเมื่อเด่นขึ้นมาหรือมีภาพตามที่ต้องการแล้ว ก็พอใจ ส่วนผลจะเป็นอย่างไร จะมีการปฏิรูปได้จริงจังหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่จะกังวลสนใจ
การปฏิรูปการเมืองจะเริ่มต้นและเดินหน้าไปได้ ไม่ได้อยู่ที่ใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว ทุกคนในบ้านเมืองต่างมีหน้าที่ด้วยกัน ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือมีความรู้มากน้อยเพียงใด ต่างมีหน้าที่สำคัญเป็นเบื้องต้นก่อนใครเพื่อน ๒ ประการ คือ
๑. ออกไปทำหน้าที่ลงคะแนนเลือกตั้ง และ
๒. ใช้ดุลพินิจเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความเหมาะสมที่จะไปทำหน้าที่สำคัญ โดยไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือเห็นแก่พวกพ้องใด ๆ
ถ้าประชาชนไม่สนใจในการทำหน้าที่ทั้ง ๒ ประการนี้ การปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูปอื่น ๆ ก็จะล้มเหลว และไม่มีทางเกิดขึ้นได้ไปอีกนาน
ถ้าเพียงแต่หน้าที่ที่จะออกไปเลือกตั้งเพียงน้อยนิด ท่านยังไม่สามารถสละเวลาหรือเคารพในหน้าที่ของตน ท่านจะไปหวังอะไรให้คนอื่นเขาปฏิบัติหน้าที่ของเขาเมื่อเข้าไปดำรงตำแหน่งต่างๆ แล้วได้
ถ้าท่านเลือกคนเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างหรือเห็นแก่พวกพ้อง คนที่ท่านเลือกไป เขาย่อมไปทำงานโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างและเห็นแก่พวกพ้องของเขา อย่างเดียวกับที่ท่านทำ แล้วท่านจะไปว่านักการเมืองได้อย่างไร เพราะนั่นคือตัวตนที่ถอดแบบไปจากท่านเอง
เมื่อท่านเลือกเขาเพราะรับเงินเขามา ๕๐๐ - ๑๕๐๐ บาท คนที่ท่านเลือกเข้าไปย่อมไปหาอามิส ๕๐๐ - ๑๕๐๐ ล้านบาท เป็นล้านเท่าที่ท่านได้รับ
เมื่อท่านเลือกเพราะเห็นว่าเขาเป็นพรรคพวกเพื่อนพ้องของท่าน คนที่ท่านเลือกเข้าไปย่อมไปทำงานเพื่อประโยชน์ของพรรคพวกเพื่อนพ้องของเขา และอย่านึกว่าท่านเป็นพรรคพวกเพื่อนพ้องของเขาจึงจะพลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย เพราะถึงตอนนั้น พรรคพวกเพื่อนพ้องของเขาจะเป็นคนละกลุ่มกับพวกท่าน
เป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำมาหากินบนประโยชน์ของท่าน เป็นคนที่จะทำให้ภาษีอากรที่ท่านจ่ายไป ต้องถูกใช้ไปในทางที่ไม่เกิดประโยชน์หรือเพื่อเข้ากระเป๋าคนกลุ่มเล็ก ๆ และเป็นคนกลุ่มที่จะทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคที่ท่านต้องใช้เป็นประจำมีราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น
จะคุ้มกันไหมกับเงิน ๕๐๐ - ๑๕๐๐ บาท ที่ท่านได้รับไปจากเขา หรือเพียงเพราะเห็นว่าเขาเป็นพรรคพวกเพื่อนพ้องของท่าน
วันที่ ๖ มกราคม จะเป็นวันสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายของการปฏิรูปทั้งปวง
ถ้าผู้คนส่วนใหญ่ต้องการปฏิรูป อยากให้บ้านเมืองดีขึ้นเพื่อทุกคนจะได้พลอยดีขึ้นไปด้วย ทุกคนที่มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องออกไปใช้สิทธิ์ด้วยดุลพินิจอย่างสุจริตใจ
ใครก็ตามที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรย่อมหมายความว่า บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ใครจะทำอย่างไร ก็ไม่สนใจอีกต่อไป ในวันหน้าคนเหล่านั้นย่อมไม่มีสิทธิจะเรียกร้องหรือบ่นว่าอะไรได้อีก เพราะตนได้ละทิ้งหน้าที่อันน้อยนิดของตนเสียแล้ว
สำหรับคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่เลือกคนเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือเพราะเป็นพรรคพวกเดียวกัน โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อภาระหน้าที่ที่เขาจะต้องเข้าไปทำ นอกจากจะไม่มีส่วนในการช่วยให้เกิดการปฏิรูปแล้วยังจะเท่ากับซ้ำเติมให้สภาพบ้านเมืองเลวร้ายลงไปอีก
ท่านอยากจะเป็นคนเช่นนั้นหรือ?
มีบางคนอ้างว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ ส่งคนลงสมัครไม่ได้ดีถึงขนาด สมควรที่ประชาชนจะสอนบทเรียนให้พรรคการเมืองด้วยการชักชวนกันไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่กาบัตรในช่อง ไม่ใช้สิทธิ์ เพื่อจะบอกให้พรรคการเมืองรู้ถึงความไม่พอใจในการเลือกตัวบุคคล
การทำเช่นนั้น เป็นการ ตายประชดป่าช้า
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสามารถชักจูงใจให้คนทั้งหมดไปกาบัตร ตามคำแนะนำดังกล่าวได้ และที่จะน่าอนาถใจก็คือ ผู้คนที่จะรู้ถึงการชักจูงใจดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีความรู้ มีสติปัญญา รู้ว่าควรจะเลือกใครโดยไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง ถ้าคนเหล่านี้ไปกาบัตรในลักษณะ ไม่ใช้สิทธิ์ ย่อมเท่ากับปล่อยให้คนที่เห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือลงคะแนนตามความเคยชิน เป็นผู้กำหนดทิศทางของบ้านเมือง
อย่าลืมว่าตามกฎหมายเลือกตั้งนั้น คนที่ได้คะแนนสูงสุด คือคนที่ได้รับเลือกตั้ง กฎหมายมิได้สนใจว่าคะแนนสูงสุดที่ว่านั้นจะมีจำนวน ๕๐,๐๐๐ คะแนน หรือ ๕๐ คะแนน ถ้าคนส่วนใหญ่ไปเลือกตั้งด้วยวิธี ไม่ใช้สิทธิ์ คนที่ได้รับเลือกตั้งอาจชนะมาด้วยคะแนนเพียง ๕,๐๐๐ คะแนนก็ได้
เราจะช้ำใจเพียงใดถ้าปรากฏว่าในจำนวน ๕,๐๐๐ คะแนนนั้น ๔,๐๐๐ ได้มาจากการซื้อเสียง แล้วคนนี้แหละจะมาทำหน้าที่แทนเรา จะมาปกป้องผลประโยชน์ของบ้านเมืองให้เรา และที่สำคัญที่สุดจะมากำหนดทิศทางและวิถีชีวิตของเรา
การปฏิรูปทั้งปวงยังอยู่ที่จุดเริ่มต้น หรือถึงจะเดินทางมาได้บ้าง ก็มิได้ห่างจากจุดเริ่มต้นเท่าใดนัก อย่าไปคิดว่าทันทีที่คิดเรื่องปฏิรูปหรือเพียงมีรัฐธรรมนูญแล้วการปฏิรูปจะสัมฤทธิ์ผลดังเนรมิตได้ ผู้คนที่พรรคการเมืองทั้งหลายเลือกสรรมาก็คือค่าถัวเฉลี่ยของประชากรของสังคม อาจจะมีระดับสูงกว่าบ้างเล็กน้อย แต่ย่อมมีดีและไม่ดีปะปนกัน เมื่อทุกองคาพยพของบ้านเมืองได้รับการปฏิรูปให้ดีขึ้น ค่าถัวเฉลี่ยย่อมจะสูง ขึ้นเป็นเงาตามตัวตามลำดับ
การปฏิรูปการเมืองต้องช่วยกันทำอย่างใจเย็น อย่างมีสติ และใช้ปัญญาอย่าใช้อารมณ์
ไปเลือกตั้งกันเถอะครับ จะเลือกใครก็สุดแต่ดุลพินิจของท่าน ข้อสำคัญขอให้ใช้ดุลพินิจอย่างสุจริต อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้าง อย่าเห็นแก่พรรคพวกเพื่อนพ้อง และอย่าเลือกคนที่มีประวัติทางค้ายาเสพติด หรือใช้เงินจากการขายยาบ้ามาเป็นปัจจัยในการหาเสียง
|