เรียนถามอาจารยมีชัยดังนี้ เดิมคุณพ่อเอาที่ดินไปจดจำนองวงเงิน 1 ล้านบาทกับธนาคารเพื่อเงินกู้ 1 ล้านบาทให้พี่ชาย ในทางปฎิบัติของธนาคารจะต้องให้ผู้จำนองทำสัญญาค้ำประกันส่วนตัวไว้ด้วย ดังนั้นนอกจากสัญญาเงินกู้ของพี่ชาย สัญญาจำนองที่ดินคุณพ่อแล้ว ก็มีสัญญาค้ำประกันของคุณพ่อด้วยเท่าวงเงินจำนอง 1 ล้านบาท ไม่นานหนี้ก็มีปัญหา คุณพ่อไม่ต้องการมีภาระเพราะท่านแก่แล้ว เป็นข้าราชการบำนาญ พี่ชายจึงให้โอนที่ดินให้เป็นชื่อพี่ชาย พร้อมกับระบุในสัญญาให้ที่ดิน(ระหว่างจำนอง) ว่า ให้ระหว่างจำนอง โดยผู้รับยอมรับภาระจำนองต่อไปตามสัญญาจำนองเดิม เมื่อโอนให้แล้ว 1 เดือน พี่ชายก็ไปทำเพิ่มวงเงินกู้และวงเงินจำนองเป็น1.5 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้คุณพ่อก็คิดว่า ท่านไม่มีภาระใดๆกับหนี้ของพี่ชายอีกแล้วหลังจากที่ยกที่ดินให้พี่ชาย นอกจากนี้มูลค่าที่ดินเวลานั้นก็คุ้มหนี้ มิฉะนั้นธนาคารก็ไม่มีเหตุผลให้เพิ่มวงเงิน แต่จากนั้นหนี้ก็เสียอีก แล้วมีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (เข้าใจว่าทำเพียงมิให้หมดอายุความการคิดดอกเบี้ย ในสัญญาใหม่ธนาคารก็นำดอกเบี้ยมาเป็นเงินต้นทำสัญญาใหม่) โดยคุณพ่อไม่ทราบเรื่องใดๆ ล่าสุดธนาคารก็ทวงถามมาอีก เพราะหนี้ไม่ได้ถูกแก้ไขใด จนดอกเบี้ยท่วมเงินต้นใหม่ และมูลค่าที่ดินน้อยกว่าหนี้ที่ทวงมาแล้ว (หนี้ 3 ล้านบาท ที่ดินขายทอดตลาดคงได้แค่ 1 ล้านเศษๆ) ธนาคารได้ทวงคุณพ่อด้วยในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้ แต่คุณพ่อไม่ทราบเพราะคุณพ่อเสียชีวิตแล้ว ดังนั้นขอเรียนถามว่า กรณีผมเป็นทายาทต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง เพราะกรณีนี้เห็นว่า สัญญาที่คุณพ่อเซ็นค้ำฯเป็นวิธีปฏิบัติของธนาคารที่ต้องมีพร้อมสัญญาจำนอง (สัญญาไม่เป็นธรรม) และหากว่า การโอนที่ดินให้พี่ชายไม่ทำให้คุณพ่อหลุดจากการค้ำประกัน ก็ไม่มีเหตุผลที่ธนาคารจะให้โอนที่ดินให้พี่ชายและเปลี่ยนผู้จำนองและพี่ชายก็ไม่สามารถไปทำสัญญาเพิ่มวงเงินกับธนาคารอีกได้ (หากฟ้องขายทอดตลาดเวลานั้นในขณะที่ดอกเบี้ยยังน้อยอยู่มูลค่าที่ดินน่าจะคุ้มครองหนี้ได้และไม่เสียหายมากเช่นนี้ และหากธนาคารนี้ล้ม หนี้ถูกขายออกไปให้ พวกฝรั่ง ก็คงได้ลดหนี้จำนวนมาก ลูกหนี้ไม่เดือดร้อนมาก)
เรียน Toon
การทำสัญญาจำนอง เรียกว่าเป็ฯการค้ำประกันด้วยทรัพย์ ส่วนการค้ำประกันเป็นการค้ำประกันด้วยบุคคล เจ้าหนี้จึงมีหลักประกันถึง ๒ ด้าน การโอนที่ดินใหัคนอื่นโดยติดจำนองไปด้วย ก็เท่ากับที่ดินนั้นยังเป็นหลักประกันให้แก่เจ้าหนี้ ส่วนผู้ค้ำประกันก็ยังคงมีฐานะอยู่ตามเดิม แต่การที่มีการเพิ่มวงหนี้ ปรับหนี้ใหม่ กันในภายหลัง จะผูกพันผู้ค้ำประกันหรือไม่ ก็ต้องขึุ้นอยู่กับสัญญาค้ำประกันว่าครอบคลุมมากน้อยเพียงไร แต่ถ้าเป็นธนาคาร ก็เชื่อได้ว่าคงครอบคลุมไว้หมด ดังนั้นผู้ค้ำประกันจึงจะยังคงไม่หลุดพ้นจากหนี้นั้น อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ค้ำประกันตายแล้ว หากเจ้าหนี้จะติดตามเอาหนี้จากผู้ค้ำประกัน ก็คงไม่ได้อะไร เพราะไปเรียกเอาจากทายาทไม่ได้ เว้นแต่ทายาทได้รับมรดกมา ทายาทก็คงต้องรับผิดเพียงเท่าที่เป็นมูลค่าของมรดกที่ได้รับมาเท่านั้น เช่น มีหนี้อยู่ ๑ ล้านบาท ทายาทได้รับมรดกมา หนึ่งหมื่นบาท ทายาทก็คงต้องรับผิดเพียงแค่หนึ่งหมื่นบาท ส่วนที่เหลือก็เรียกเอาอีกไม่ได้ และเมื่อทายาทชำระให้แล้ว ก็สามารถไปเรียกคืนจากลูกหนี้ได้