สวัสดีค่ะ คุณมีชัย
เป็นเรื่องของพี่สาวดิฉัน ซึ่งขณะที่เขียนคำถามพี่สาวท้องได้ 6 เดือน เรื่องมีอยู่ว่า
พี่สาวได้เข้าทำงานที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งผู้จัดการประสานงาน
(มี3คน)เงินเดือน 34,000 คอยดูแลประสานงานระหว่างลูกค้ากับบริษัท 
ตั้งแต่ 1กย48 ในสัญญาทดลองงาน 4เดือน โดยก่อนครบการประเมินผลใน
สิ้นเดือน ธค48 ได้รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ด้วยความบริสุทธิ์ใจและคิดว่าไม่น่าจะมี
ผลอะไรกับการทำงานจึงได้แจ้งให้กรรมการที่มีอำนาจของบริษัททราบ 9ธค48
ซึ่งพี่สาวได้เตรียมจัดงานแต่งงาน 4มค49 หลังจากงานพิธี บริษัทได้เรียกตัว
กลางเดือนและบอกว่าไม่ผ่านการทดลองงาน โดยให้เหตุผลต่างๆนาๆ และขอยืด
เวลาประเมินออกไปอีก 2เดือน และครั้งสุดท้ายที่คุย คือวันที่ 28กพ49โดย
บอกกับพี่สาวว่า "หยุดเถอะ" โดยอ้างเหตุผลเดิมที่บอกในครั้งแรกว่าไม่ผ่าน
การทดลองงาน จนพี่สาวตัวเองหมดความศรัทธาในตัวเอง ไม่กล้าที่จะทำงาน
(พี่สาวผ่านการทำงานในบริษัทขนาดใหญ่มามาก ประวัติการทำงานดี ไม่เคยมี
ปัญหากับเพื่อนร่วมงานและบุคคลภายนอกองค์กร ไม่เคยถูกเลิกจ้างและให้ออก
ไม่ว่าเหตุผลใดๆ ทั้ง BenQ,ธ.เอเชีย, IBCเป็นต้น)

บริษัทได้บอกพี่สาวว่ายังงัยให้เข้ามาบริษัทอีกสัก 2อาทิตย์ ไม่ต้องเข้ามาทำงาน
ก้อได้ ให้มานั่งเล่น พักผ่อน ร่ำลาคนในบริษัท (เพื่อสร้างภาพที่ดีให้กับบริษัทว่า
ไม่ได้รังแกคนท้อง)และจะให้บุคคลทำเรื่องเงินให้ 1เดือน ซึ่งพี่สาวไม่รู้เรื่อง
สิทธิ์ค่าชดเชยจึงบอกไม่เป็นไร ไม่อยากเอาเปรียบบริษัทหรอก แต่คงไม่เข้ามา
ซึ่งในระหว่างพูดคุยกัน ไม่ได้คิดเรื่องไม่ดี ไม่คิดว่าบริษัทจะเอาเปรียบหรือไม่
เป็นธรรม แต่พอบริษัทถามว่ามีอะไรจะพูดมั้ย พี่สาวก็พูดว่าเป็นห่วงเรื่องลูก
ไม่เคยคิดว่าจะไม่มีงานทำ และจะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายตอนคลอด เหมือนเพิ่ง
นึกได้บอกว่าเอาแบบนี้มั้ยจะหางานที่น้อยลง และเงินเดือนน้อยลงให้ทำ ทำให้
พี่สาวรู้สึกยิ่งแย่ไปใหญ่ เหมือนตัวเองไม่มีค่า

หลังจากวันนั้นพี่สาวก็สภาพจิตไม่ดี ไม่สดชื่น เอาแต่ร้องไห้ ฝ่ายบุคคลที่บริษัท
โทรมาก็ไม่สามารถคุยด้วยได้ แม่รับสายเลยบอกไม่สบาย จนในวันที่3มีค49
พี่สาวได้เข้าเช็คเมลล์ตัวเองในบริษัท (ยังไม่ได้ปิดการใช้งาน)ได้เห็นข้อความ
ที่ฝ่ายบุคคลส่งให้คนทั้งบริษัททราบ ความรวมคือ "พี่สาวตั้งใจลาออกเพื่อที่จะ
ไปคลอดและดูแลลูก หลังคลอดแล้ว ขอให้ทุกคนให้การต้อนรับที่ดีด้วย พี่สาว
อาจจะกลับมาทำงานร่วมกับเราอีก  ถึงแม้จะยังไม่ได้รับการตอบกลับจากเจ้าตัว"
ยิ่งทำให้พี่สาวรู้สึกว่าทำไมต้องบิดเบือนข้อมูลและสร้างภาพด้วย ระหว่างนี้ภาย
ในบ้านได้หาข้อมูลและปรึกษาคนรู้เรื่องสิทธิที่ควรได้รับ เพื่อที่จะได้ขอเอกสาร
เพิ่มเติมจากบริษัท ซึ่งตัวเองได้เป็นธุระแทนพี่สาวในการพูดคุยกับทางบริษัท
ให้ โดยสรุปในการติดต่อพูดคุยกับทางบริษัท ได้คุยผ่านหัวหน้าฝ่ายบุคคล

ติดต่อไปที่ฝ่ายบุคคลเพื่อขอจดหมายเลิกจ้าง (ไม่ใช่ลาออก)
ทางโทรศัพท์ รวมระยะเวลาที่พูดคุยทางโทรศัพท์ 2สัปดาห์ มีการแสดงเจตนา
หลายอย่างให้เห็นว่า ต้องการสร้างภาพ ไม่ได้เต็มใจที่จะปฏิบัติตัวกับพี่สาวด้วยดี
ไม่ได้เต็มใจที่จะให้เงิน1เดือนที่ว่า และไม่ได้เห็นใจคนที่กำลังท้องและตกงาน

ในเช้าวันเดียวกับที่บริษัทจะโอนเงินให้ ได้ไปที่ประกันสังคมเขตพื้นที่สาทร
เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ว่างงาน และเลยไปที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
เพื่อปรึกษาหากจะเรียกร้องความเป็นธรรม ได้รับการแนะนำให้ตรงไปที่ศาล
แรงงาน เพื่อยื่นคำร้องฟ้องกับทางบริษัท และเมื่อไปพบนิติกรของศาลแรงงาน
ในช่วงแรกบอกว่าไม่น่าจะสืบพยานได้ เพราะมันเป็นเจตนา ไม่มีหลักฐาน
เป็นลายลักษณ์อักษร ต่อเมื่อเล่าให้ฟังในรายละเอียดและแสดงเอกสารบางอย่าง
ทางนิติกรจึงเริ่มที่จะเขียนคำร้องเพื่อที่จะยื่นฟ้องและเรียกค่าเสียหายให้
 
อย่างไรก็ตามก็ยังกังวลกับเหตุผลที่บริษัทเลิกจ้าง เพราะไม่ผ่านการทดลองงาน
เพราะนิติกรบอกว่า แต่ละบริษัทมีเกณฑ์ที่ต่างกัน อาจจะพิสูจน์ยากว่าเป็นเพราะ
เรื่องงานจริง หรือเรื่องที่กำลังท้อง ซึ่งหลังจากวันยื่นคำร้อง1วันได้รับจดหมาย
จากทางบริษัทเพิ่มเติม 2ฉบับ
จดหมาย1-จดหมายแจ้งไม่ผ่านการทดลองงาน โดยฝ่ายบุคคล เนื้อหาเหมือน
  กับที่เคยได้รับแต่แก้ไขใหม่ตามที่ขอไว้
จดหมาย2-จดหมายเพิ่มเติม แจ้งไม่ผ่านการทดลองงานและเหตุผล โดยบุคคล
  ที่เป็นคนพูดคุยกับพี่สาวในการประเมินทั้งสองครั้ง โดยระบุเหตุผลมา4ข้อ
  และย้ำในจดหมายเรื่อง15วันที่ต้องเข้ามาโอนถ่ายงาน (ไม่ตรงกับที่พูด)

อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำค่ะ เพราะศาลแรงงานนัดไกล่เกลี่ยเดือนพค
ครอบครัวไม่เคยมีปัญหากับใคร ไม่เคยต้องขึ้นศาล ไม่มีความรู้เรื่องกฏหมาย
จะต้องเตรียมอะไรบ้างรึเปล่าในวันไกล่เกลี่ย และมีความเป็นไปได้มั้ยที่จะพิสูจน์
ให้เชื่อได้ว่าการท้องเป็นสาเหตุหนึ่งของการไม่ผ่านโปรจนต้องเลิกจ้าง
ขอบคุณมากนะคะ ที่สละเวลาอ่านเรื่องราวของพี่สาว
รบกวนให้ความเห็นด้วยนะคะ

 เท่าที่ทำมาทุกอย่างถูกต้องแล้ว ต่อไปก็คอยปรึกษากับเจ้าหน้าที่กรมแรงงานแล้วปฏิบัติตามคำแนะนำนั้น ศาลแรงงานไม่ได้ยุ่งยากเหมือนศาลธรรมดา จึงไม่จำต้องหวั่นวิตกอะไร