เรียน อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์
ดิฉันขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งกับคำตอบที่ อาจารย์มีชัย กรุณาตอบมาเพื่อเป็นความรู้ค่ะ ทั้งนี้ ดิฉันใคร่ขอเรียนสอบถามเพิ่มเติมเพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินการต่อไปดังนี้ค่ะ
1. ดิฉันควรจะติดต่อเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานบังคับคดี และนำสำเนาคำพิพากษารวมถึงเอกสารภาระหนี้สินที่ดิฉันต้องรับผิดชอบทุกอย่างในแต่ละเดือนไปแสดงให้เจ้าหน้าที่บังคับคดีดูเพื่อชี้แจง ทั้งนี้ เพื่อขอลดยอดเงินต้นที่ศาลพิพากษา และ แจ้งยอดเงินที่ดิฉันมีความสามารถในการชำระคืนในแต่ละเดือนได้หรือไม่ค่ะ อนึ่ง ในขณะนี้ยังไม่ได้รับติดต่อจากทนายความที่ขึ้นฟ้องและจากเจ้าหน้าที่สำนักงานบังคับคดีเลยค่ะ กลัวว่าเงียบหายไป อยู่ๆ ก็มีหนังสือจากสำนักงานบังคับคดีมาที่บริษัทฯ เพื่ออายัดเงินเดือนและโบนัสเลยค่ะ จะเป็นไปได้ไหมค่ะ
2. หากดิฉันชี้แจงยอดเงินตามข้อ 1. แล้วแต่บริษัท จีอีฯ ไม่ยินยอมตามยอดเงินชำระแต่ละเดือนที่ดิฉันมีความสามารถในการชำระ โดยต้องการยอดเงินที่สูงกว่าที่ดิฉันพิจารณาว่าสามารถผ่อนชำระได้ ดิฉัน ซึ่งเมื่อรวมกับยอดเงินค่าใช้จ่ายภาระหนี้สินอื่น , ค่าดำรงชีพของดิฉันในแต่ละเดือนที่ต้องจ่ายแล้วเกินกว่า 30% ของเงินเดือน บริษัท จีอีฯ ยังอายัดเงินเดือนดิฉันได้อยู่หรือไม่ค่ะ
3. สำหรับเงินโบนัสที่ได้ปีละครั้งที่เป็นเงินก้อนซึ่งดิฉันตกลงไว้กับเจ้าหนี้นอกระบบให้หยุดดอกเบี้ยและจะชำระต้นคืนให้เมื่อได้รับโบนัสดังกล่าว หากดิฉันโดนอายัดโบนัส 100% หมายถึงดิฉันจะไม่สามารถชำระคืนเงินให้กับเจ้าหนี้นอกระบบได้ ซึ่งดิฉันมีความลำบากใจเป็นอย่างมากค่ะ เพราะเจ้าหนี้นอกระบบก็เมตตาไม่คิดดอกเบี้ยให้แล้วขอเพียงแค่ชำระเงินต้นคืนในช่วงรับโบนัสตอนสิ้นปีเท่านั้น ทั้งนี้ ดิฉันควรทำอย่างไรค่ะ และหากในการประนีประนอมหนี้สินกับเจ้าหนี้นอกระบบตอนต้นปี 51 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกันใหม่และได้บันทึกข้อตกลงในการชำระหนี้ไว้โดยกำหนดเงินต้นที่แน่นอน แจ้งหยุดดอกเบี้ย และจะมีการชำระคืนตอนได้รับโบนัสสิ้นปีไว้อย่างชัดเจน ดิฉันสามารถนำเอกสารสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวนี้แสดงต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานบังคับคดีเพื่อพิจารณาไม่อายัดเงินโบนัสได้หรือไม่ค่ะ
ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ค่ะ
เรียน คุณภัทราภรณ์
การเจรจาหรือประนีประนอม ก็คือการหาข้อยุติที่พอรับกันได้ทั้งสองฝ่าย ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องบังคับไปตามคำพิพากษาที่จะมีมา