ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    049144 ถูกหลอกให้โอนเงินทางเอทีเอ็มจารุพงศ์11 พฤษภาคม 2556

    คำถาม
    ถูกหลอกให้โอนเงินทางเอทีเอ็ม

    ผมได้ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้โอนเงินทางเอทีเอ็ม  ระหว่างวันที่ 18 ม.ค. 2556 - 29 เม.ย. 2556   จำนวน  44 ครั้ง รวมเป็นจำนวนเงิน 1,009,097 บาท (หนึ่งล้านเก้าพันเก้าสิบเจ็ดบาท) โดยโอนเข้าบัญชีของนางสาวพร    มูลเหตุที่ถูกหลอกให้โอนพอลำดับความได้ว่าเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2556  น.ส.พร ได้ติดต่อผมทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ hi5.com   อ้างว่าเป็นคนอำเภอพล จ.ขอนแก่น  เรียนจบพยาบาลศาสตร์  เป็นกำพร้าพ่อมาแต่เด็ก  และแม่เพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อเดือนธันวาคม โดยขอยืมเงินของผมเพื่อเป็นค่ารถจำนวน 2,000 บาท  เพื่อจะเดินทางไปทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่เชียงใหม่และสัญญาจะคืนให้เมื่อรับเงินเดือนแรก  ผมเห็นว่าเงินเพียงเท่านี้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยกันได้     ด้วยความสงสารและความมีมนุษย ธรรมคุณธรรม   จึงโอนให้เป็นเงิน 3,000 บาท(มากกว่าที่ขอ และยังคิดในใจว่าไม่จำเป็นต้องคืนก็ได้)  เพราะอยากช่วยเหลือคนลูกกำพร้าที่ตกทุกข์ได้ยาก พอเขาอ้างว่าถึงเชียงใหม่ในวันที่ 19 ม.ค. แล้วข้าพเจ้าก็ไม่มีเวลาไปตรวจสอบว่ามาถึงอย่างไร พักอยู่ที่ไหน สะดวกหรือไม่อย่างไร  เนื่องจากต้องดูแลแม่ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด     อีกสองสามวันต่อมาเขาก็บอกว่ามีการรับสมัครพยาบาลสอบเรียนต่อแพทย์หลักสูตร 7 ปี ของมหาวิทยาลัยมหิดล  ถามข้อมูลแต่ไม่ค่อยได้ความชัดเจนมากเท่าที่ควร     เนื่องจากเจ้าตัวบอกว่าเกิดที่ประเทศจีน   จึงพูดภาษาไทยค่อนข้างฟังยากสักหน่อย และยังพูดลักษณะติดอ่างอีกด้วย  จึงได้บอกไปว่าก็ลองสอบดูซิ  (เพราะคิดว่าเด็กเขาก็อยากก้าวหน้า ควรให้กำลังใจสนับสนุน)   ตอนหลังก็บอกว่าต้องมีชุดฝึกงานก็ขอยืมอีก  ด้วยความสงสารก็ให้ไปอีก ต่อมาก็บอกว่าจับสลากเข้าพักที่หอพักของโรงพยาบาลไม่ได้  ต้องไปเช่าอยู่ข้างนอกอยู่ ก็ขอยืมอีก   พอผมมีเวลาไปหาที่โรงพยาบาล  เพื่ออยากเห็นว่ามีความเป็นอยู่กันอย่างไร  เจ้าตัวก็บอกว่ากำลังฝึกงานอยู่ไม่กล้าขอเวลากับแพทย์พี่เลี้ยง  ทั้งๆที่นัดหมายกันแล้ว  แต่ก็ไม่ได้เฉลียวใจและเชื่อใจว่าเป็นเด็กกำพร้าน่าสงสารมาโดยตลอด     ช่วงที่อ้างว่าเก็บตัวฝึกงานที่เชียงใหม่เตรียมสอบช่วงเดือนกุมภาพันธ์    ก็อ้างว่าอาจารย์หมอเขาบังคับให้ไปดูงานต่างประเทศฝรั่งเศสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินในการสอบเรียนแพทย์  ก็ให้ยืมไปอีก    ปลายเดือนกุมภาพันธ์ก็แจ้งทางโทรศัพท์ว่าผลสอบออกแล้ว ได้ที่ 2 เขาเอา 3 คน   ด้วยความดีใจแทนและอยากให้รางวัล จึงถามว่าอยากได้อะไร  เจ้าตัวก็ตอบว่าแล้วแต่จะให้     ผมคิดในใจมาตลอดว่าอยากได้ไว้เป็นลูกสาวไว้ดูแลยามหลังเกษียณ   ก็เลยบอกว่าขอให้เป็นพ่อ-ลูกกัน ได้ไหม   เจ้าตัวร้องไห้ทางโทรศัพท์บอกว่าเป็นวันที่อบอุ่นที่สุดในชีวิตที่ได้มีพ่อดูแลเป็นอย่างดี  จนสามารถสอบแพทย์ได้  (ผมมีความรู้สึกว่าคงจะได้ฝากผีฝากไข้กับเด็กคนนี้  เพราะอาชีพแพทย์ต้องดูแลคนไข้อยู่แล้ว  แล้วไฉนพ่อบุญธรรมเขาจะไม่ดูแลได้อย่างไร ซึ่งผมมีโรคประจำตัวหลายอย่าง  ซึ่งก็คงตรงกับความฝันของตัวเองที่อยากมีลูกเป็นแพทย์สักคน   แต่ลูกจริงๆของตัวเองยังเล็ก ไม่น่าจะทันได้กินแรง)      พอวันที่ 4 มีนาคม   ก็บอกว่าต้องเดินทางไปศึกษาและดูงานที่อเมริกาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรเป็นเวลา 1 เดือน 4วัน      ตอนแรกก็บอกว่าใช้ 50,000 ก็พอ  ก็ให้ไปโดยโอนผ่านทางธนาคารกรุงไทย  (แล้วตอนนี้ก็ไม่กล้าที่จะติดต่อทางโทรศัพท์ เกรงว่าจะแพง   จึงใช้วิธีส่งข้อความทางโทรศัพท์สื่อสารกันตลอด  และก็ขอเงินตลอด เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน  ก็ให้ตลอด เพราะคิดว่าเป็นลูกจึงไม่อยากให้ไปตกระกำลำบากในต่างประเทศ         จนถึงวันเดินทางกลับเมืองไทย ก็อ้างเหตุผลขอเงินสารพัด  จนผมไม่มีจะให้     ผมจึงได้ติดต่อไปยังมูลนิธิ ปวีณา หงสกุลเพื่อจะขอความช่วยเหลือสนับสนุนค่าเครื่องบินส่งตัวกลับ      แต่ทางมูลนิธิได้แจ้งว่าไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในด้านการเงิน     เพราะมูลนิธิจะไม่ยุ่งให้ความช่วยเหลือในด้านการเงินแก่บุคคลใดๆ   ผมสุดปัญญาจึงพยายามหาทางที่จะติดต่อคุณระเบียบรัตน์  พงษ์พานิช  เพราะเห็นว่าคุณระเบียบรัตน์ ก็อยู่อำเภอพล ท่านคงจะให้ความเมตตาไม่ทอดทิ้งเด็กเมืองพล(กระมัง)  และยังส่งข้อความไปย้ำบอกว่า อย่างไรเสียก็ขอให้ลูกพึ่งสถานทูตไทยไว้ก่อนเป็นดีที่สุด  เพราะสถานทูตไทยคงจะไม่ปล่อยให้คนไทยตายเปล่า  พอวันที่ 27 เมษายน 2556 ก็ได้รับข้อความว่าเดินทางกลับถึงสุวรรณภูมิแล้วโดยบอกว่าทางสถานทูตให้ยืมเงินมา  หลังจากที่รายงานตัวที่ก.พ. และกระทรวงศึกษา  บอกว่าจะกลับไปกราบเท้าคุณพ่อที่เชียงใหม่  ในวันที่ 30 เมษายน   ผมก็เฝ้ารอแต่ก็ไม่มีวี่แวว โทรศัพท์หาก็ไม่รับ  ส่งข้อความก็ไม่ตอบ     สุดท้ายเวลา 17.38 น. ได้รับข้อความว่า “คะ ไม่ต้องพบกันอีกต่อไปแล้วนะคะ เข้าใจแล้ว ส่วนเงินจะค่อย ๆ ส่งไปคืนให้เรื่อย ๆ”    จึงมารู้คำตอบแน่ชัดว่าถูกหลอกต้ม โดยหมดไปทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 1,009,097 บาท (หนึ่งล้านเก้าพันเก้าสิบเจ็ดบาท)    แต่อาจมีบางครั้งไม่ทันได้เก็บสลิปการโอนเงิน  แต่ได้บันทึกในสมุดประจำวันทุกครั้ง 

                โดยสรุป เพราะความสงสาร ประกอบกับเป็นคนที่มีคุณธรรม ขี้สงสารคน   และตัวเองก็มีปัญหาสุขภาพ ครอบครัวก็แตกแยก (เพิ่งหย่ากับภรรยา 19 ธันวาคม 2555)   แม่ก็มาป่วยต้องดูแลใกล้ชิด  จึงไม่มีเวลาจะมาวิเคราะห์เหตุการณ์   จึงเป็นโอกาสทองของคนมิจฉาชีพที่เข้าถูกจังหวะทุกอย่าง      หมดไปล้านกว่าบาท โดยที่ยังไม่เคยได้เห็นหน้าด้วยซ้ำไป

                ซึ่งเงินจำนวนนี้ผมทั้งกู้มีดอกเบี้ยบ้าง ไม่มีบ้าง ยืมเพื่อนฝูงกันบ้าง   เพื่อหวังจะมีลูก(ถึงจะเป็นลูกบุญธรรมก็ตาม) ที่เป็นแพทย์ไว้ดูแลบั้นปลายชีวิต   กลับเป็นมหันตภัยทิ่มแทงตัวเองอย่างเจ็บปวดที่สุดในชีวิตนับตั้งแต่เกิดมาเป็นคน  ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะหาทางชำระหนี้สินที่กู้ยืมมาได้อย่างไร  จนบางครั้งคิดอยากฆ่าตัวตายเพราะความโง่  ความซื่อ          ผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้มีพฤติกรรมเจตนาที่จะ    จีบในเชิงชู้สาวมาตั้งแต่ต้น  พอรู้ว่าเป็นลูกกำพร้าก็เกิดความเอ็นดูสงสาร  เห็นใจ  

                คดีนี้ผมได้ไปร้องทุกข์แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจแล้ว เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2556   โดยมีความคืบหน้าในคดีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานกับทางธนาคาร  จึงทำให้ทราบว่าหมายเลขบัญชีเป็นของ น.ส.พร จริง และเบอร์โทรศัพท์ที่ให้ข้อมูลไว้กับธนาคาร ก็เป็นเบอร์เดียวกันกับที่ใช้ติดต่อกับผมมาโดยตลอด    ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร้องขอให้ทางธนาคารตรวจสอบและอายัดบัญชีหมายเลขดังกล่าวซึ่งมีเงินเหลืออยู่ประมาณร้อยกว่าบาทไว้แล้ว     ต่อมาในวันที่ 7 พฤษภาคม 2556 น.ส.พรได้ไปโวยวายจะเอาเรื่องกับทางธนาคารที่อายัดบัญชี  เนื่องจากมีรายอื่นโอนเงินเข้าบัญชีนั้นอีกจำนวน 4,000 บาท  แต่ไม่สามารถถอนได้  (เงินที่โอนเข้าบัญชี 4,000 บาทนี้ ไม่ใช่ของผมแน่นอน    แสดงว่า น.ส.พร ยังได้ไปหลอกลวงผู้อื่นอีกน่าจะหลายราย)    ทางธนาคารจึงประสานมายังทางตำรวจเพื่อขอถอนการอายัดบัญชี    ผมจึงบอกตกลงกับทางตำรวจว่าไม่ต้องอายัดแล้ว เพราะผมจะไม่โอนไปอีกแล้ว)   ทางตำรวจก็ได้ประสานเพื่อตรวจสอบสัญญาณการใช้โทรศัพท์ของ น.ส.พร ปรากฏว่าได้ใช้งานในพื้นที่เขตที่เปิดบัญชีจริง เครือข่าย AIS   และทางธนาคารยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าบุคคลนี้ปากเบี้ยวนิดหน่อย จึงพูดไม่ค่อยชัด   ซึ่งก็ตรงกับรูปในฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยที่ตำรวจไปขอมา         แต่รูปที่ใช้ลงใน hi5 ไม่ใช่รูปของน.ส.พร ตัวจริง เอารูปคนอื่นมา ก็น่าจะทำกันเป็นทีม)

                หลักฐานที่ข้าพเจ้ามีอยู่

                      1.สลิปการโอนเงิน 41 ครั้ง จากทั้งหมด 44 ครั้ง

                      2.ข้อความที่น.ส.พร ส่งเข้ามายังโทรศัพท์ของผม (แต่ไม่ครบ มีอยู่เพียงบางส่วน)

    สิ่งที่ผมวิตกที่อยากขอคำแนะนำจากท่าน  อันเนื่องมาจากข้อกฎหมาย

    1.คดีนี้ ทาง สวส. มองว่า  เป็นการให้โดยเสน่หา  แต่ผมว่าผมถูกหลอกลวงเพราะเขาไม่ได้

       เป็นทั้งแพทย์หรือพยาบาล  และโกหกสมมุติทุกอย่างที่ค่อนข้างจะแนบเนียน   จนทำให้ผมหลงเชื่อส่ง

      เงินให้    แต่ร้อยเวรก็ทำเต็มที่ตอนนี้กำลังประสานขอภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารเพื่อนำมาเป็น

      หลักฐานมัดตัว     รวมถึงข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของน.ส.พรที่ใช้ติดต่อกับผมจากบริษัทที่ให้บริการ

      อยากขอคำแนะนำจากท่านว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง  ที่จะไม่ให้คดีนี้มองว่าเป็นการให้โดยเสน่หา

      เพราะหน้าตาของ น.ส.พร ผมยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป

    2.ในการฟ้องแพ่ง ศาลมีอำนาจบังคับให้เขาขายทรัพย์สินที่เขามีอยู่เพื่อมาชดใช้คืนให้ผมได้หรือไม่

       อย่างไร  เพราะตอนนี้ผมเป็นหนี้จนล้นพ้นตัว เนื่องมาจากถูกหลอกให้โอนเงินนี่แหละครับ

    คำตอบ
    ถ้าข้อมูลที่คุณเล่ามา เป็นความจริง  การที่เขาได้ทรัพย์สินไปจากคุณก็เกิดจากการหลอกลวง จึงไม่ใช่เรื่องการให้โดยเสน่หา แต่เป็นการได้ทรัพย์ไปโดยการหลอกลวง จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง และถ้าคุณชนะความแพ่งและเขาไม่มีเงินคืนให้คุณ ถ้ามีทรัพย์สินคุณก็ไปขอให้ศาลออกคำบังคับเพื่อนำทรัพย์สินของเขามาขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินคืนคุณได้  แต่คนที่หากินทางทุจริตอย่างนี้ส่วนใหญ่เมื่อได้มาก็มักจะใช้ไปหมด คงไม่เหลือทรัพย์สินอะไรให้ใครยึดได้  ทางที่ดีที่สุดจึงไม่ควรหวังว่าจะได้เงินคืน ควรก้มหน้าก้มตาทำมาหากินและพยายามผ่อนชำระเจ้าหนี้เขาไปเถอะ และก็ควรจำไว้เป็นบทเรียนว่า การทำความดีนั้นต้องไม่ทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อน  การที่คุณไปกู้หนี้คนอื่นมาเพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่ไม่เคยเห็นหน้า ออกจะเป็นการทำร้ายตัวเองรุนแรงไปหน่อย
    มีชัย ฤชุพันธุ์
    11 พฤษภาคม 2556