เรียนท่านอาจารย์มีชัย
ดิฉันร้องต่อศาลขอเป็นผู้พิทักษ์พ่ออายุ 93 ปี ป่วยเป็นมะเร็งที่ไตและมีอาการอัลไซเมอร์ และแม่อายุ 88 ปี อยู่ ICU ที่ รพ. นอนไม่รับรู้สิ่งใด ๆ ตาแทบมองไม่เห็น ดิฉันมีพี่น้อง 6 คน พี่ 2 คนและน้อง 1 คน รวม 3 คนให้ความยินยอม แต่น้องที่เป็นทอมและพ่อให้ดูแลเรื่องเงิน กับน้้องชายที่พ่อให้ดูแลกิจการร้องคัดค้าน เหตุที่ดิฉันต้องร้องขอเป็นผู้พิทักษ์เพราะพบว่าน้องที่เป็นทอมยักยอกเงินพ่อแม่ไปให้ผู้หญิง ยอดเงินเท่าที่ได้ข้อมูลมาเกือบ 30 ล้านบาท แต่น้องชายหลงเชื่อน้องที่เป็นทอมจึงเข้าข้าง
ปัญหาที่ดิฉันสงสัยคือ ในการไกล่เกลี่ย มีผู้พิพากษาอาวุโส 1 ท่าน และผู้พิพากษาสมทบ 2 ท่าน ผู้พิพากษาสมทบมีท่าทีเข้าข้างทางผู้ร้องคัดค้าน คิดว่าดิฉ้นอยากได้ทรัพย์สมบัติ แต่ที่จริงดิฉันเกรงว่าทรัพย์สมบัติของพ่อแม่จะหมดไปเพราะเอาไปให้คนอื่นในขณะที่พ่อและแม่ต้องใช้เงินในการรักษาพยาบาล เวลาที่พี่และน้องจะอธิบาย ก็จะถูกตัดบท และในตอนท้าย ผู้พิพากษาอาวุโสก็สั่งห้ามไม่ให้พูด และห้ามอีกฝ่ายด้วย โดยแจ้งว่า เป็นคำบังคับ หากฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษ และเพิ่มว่า ตอนที่ตนนั่งบัลลังก์จะแรงกว่านี้ ผู้พิพากษาสมทบก็ว่า หากใครพูดก็เป็นการละเมิดอำนาจศาล
ดิฉันพยายามหาข้อกฎหมายว่าผู้พิพากษาในขณะทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยมีอำนาจสั่งเช่นนี้ด้วยหรือ หากผู้ไกล่เกลี่ยไม่พยายามฟัง จะได้ความจริงอย่างไร เพราะการเสนอขอเป็นผู้พิทักษ์ ดิฉันนำเรียนเพียงพ่อแม่มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ แต่น้องที่คัดค้านเขียนคัดค้านถึง 4 หน้ากระดาษ และเป็นความเท็จที่บอกว่าพ่อแม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ดูแลพ่อแม่เองคนเดียว
ขอความกรุณาให้ความสว่างในเรื่องนี้ด้วยค่ะ เพราะยังต้องไปไกล่เกลี่ยอีกในเดือนมกราคมปีหน้าค่ะ
ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาให้ความรู้ในโอกาสนี้ค่ะ