เคยมีคดีอาญา-บกพร่องในศีลธรรมหรือไม่
กราบเรียนอาจารย์มีชัย
เรื่องมีอยู่ว่า ข้าพเจ้า ซึ่งได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกระทรวงหนึ่ง (อยู่ระหว่างทดลอง)
และตรวจพบว่ามีประวัติเคยถูกดำเนินคดีอาญา เมื่อปี พ.ศ.2542
โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหามีเมทแอมเฟตมีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท
1 หนัก 0.09 กรัม ไว้ในความครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และศาลได้มีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 2
ปี และปรับ 20,000 บาท
ให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1
ปี ปรับ 10,000 บาท ไม่ปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2
ปี (เหตุเกิดเมื่อปี พ.ศ.
2542)
ขอเรียนถามว่า
1. ข้าพเจ้าจะถือว่าผิดในข้อไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีหรือไม่
2. ระยะเวลาการกระทำผิด
ก้อผ่านมาถึง 18 ปี จากปี 2542
ไม่เคยมีประวัติหรือถูกดำเนินคดีใดๆ เลย และก่อนหน้าที่จะบรรจุเข้ารับราชการปี
2559 ยังคงเป็นลูกจ้าง-พนักงานราชการ ในหน่วยงานราชการ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 - 2559 มาโดยตลอด
3. และถ้าผลการวินิจฉัยว่าข้าพเจ้าเป็นผู้บกพร่องจริง ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างจากบางหน่วยงาน
จากตัวอย่างต่อไปนี้ มาใช้แก้ต่างได้หรือไม่ (เนื่องจากพฤติการณ์คล้ายกัน)
***ตัวอย่าง โดยเรื่องมีอยู่ว่า นายแสน (นามสมมุติ)
ซึ่งได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วย
พบว่ามีประวัติเคยถูกดำเนินคดีอาญา
โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหามียาบ้าไว้ในความครอบครอง จำนวน 5 เม็ด และศาลจังหวัดได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน
ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน
กำหนด 1 ปี ปัจจุบันคดีถึงที่สุดแล้ว
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเห็นว่า นายแสนยังไม่เคยต้องรับโทษจำคุก
โดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก จึงยังไม่ขาดคุณสมบัติสำหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา
มาตรา 30(10) แต่มีปัญหาว่าจะขาดคุณสมบัติ
ในกรณีไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีสำหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตามมาตรา 30(7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ.2547 หรือไม่ จึงได้ขอหารือมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.
เรื่องดังกล่าว
ก.ค.ศ. โดย อ.ก.ค.ศ.
วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลมีคำพิพากษาว่า นายแสนมีความผิดตาม
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และลงโทษตามมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว
ถือได้ว่า ศาลได้วินิจฉัยว่า นายแสนเป็นเพียงผู้เสพเท่านั้น
มิใช่เป็นผู้จำหน่ายตามมาตรา 15 วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน เนื่องจากกรณีที่จะถือว่าเป็นผู้จำหน่ายนั้น
จะต้องมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ 20 กรัมขึ้นไป แต่ในกรณีนายแสนมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง จำนวน 5 เม็ด ศาลได้พิเคราะห์แล้วว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัม เมื่อนายแสนเป็นผู้เสพหรือติดยาเสพติดตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
5 สิงหาคม 2546 แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ด่วนที่สุด ที่ นร 0504/ ว 208 ลงวันที่
15 สิงหาคม 2546 ให้ถือว่าไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี
ประกอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 รวมทั้งใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาล
ซึ่งได้ออกให้นายแสนที่ได้เคยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าไม่พบสารเสพติด
มีสุขภาพแข็งแรงดี
อันเป็นการแสดงว่าได้ผ่านการฟื้นฟูสมรรถภาพจนร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว
นายแสนจึงไม่เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ ตามมาตรา 30(7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ.2547
ที่หยิบยกมานี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า
สังคมได้ให้โอกาสกับผู้เคยกระทำผิด แต่หากไม่กระทำผิดเลยจะดีกว่า
เพราะหากเราต้องเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ก็ต้องเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดี
จะได้ปฏิบัติงานด้วยความสุข มีความเจริญในหน้าที่การงานสืบไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ |